คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 36/2559 นำไปสู่การนำที่ดินที่ยึดคืนมาดำเนินการตามนโยบายจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนของรัฐบาล ในพื้นที่ ส.ป.ก.
ปรากฏว่า มีคนบางกลุ่มนำข้อมูลไปบิดเบือนโจมตี ดิสเครดิต แถมปกป้องนายทุนเอกชนต่างหาก
จะด้วยความเข้าใจผิด หรือเจตนาสร้างความสับสนอย่างไร?
1. แฟนเพจ “หมามุ่ย” และรายการโทรทัศน์ที่นายชูวิทย์ เป็นผู้ดำเนินรายการ นำไปขยายผลต่อ
มีการผสมโรงด่าทอการดำเนินการเกี่ยวกับสวนส้มเกือบ 6,000 ไร่ ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในทำนองว่าทำอย่างโง่ๆ เรียกร้องให้ยุติการรื้อสวนส้ม
หาว่าทางการนำรถแบ๊กโฮเข้าไปปรับที่ รื้อถอนต้นส้มพันธุ์ดีที่ปลูกมานาน รวมทั้ง
กล้วยหอม ตามคำสั่งของ หัวหน้า คสช. โดยอ้างว่าเจ้าของสวนส้มธนาธรแนะนำว่า หากจะแบ่งให้ผู้ยากไร้หรือจัดระบบสหกรณ์ ก็ให้เขาเข้ามาดูแลรับช่วงต่อทันที ไม่จำเป็นต้องรื้อสวนส้มหรือต้นกล้วยออก
ปรากฏว่า การนำเสนอข้อความดิสเครดิตเหล่านี้ ถูกแพร่ขยายออกไปจำนวนมาก
2. ล่าสุด นายบพิตร อมราภิบาล รองเลขาธิการ ส.ป.ก. มีคำชี้แจงพร้อมรายละเอียดที่น่าสนใจมาก
สรุปความ บางประเด็น ดังนี้
2.1 ภาพถ่ายมุมสูงนั้น หน่วยทหารช่างจากกรมทหารช่างที่ 3 ค่ายสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ จังหวัดพิษณุโลก กำลังรื้อถอนต้นส้มและต้นกล้วย (ปลูกแซมกัน) ในบริเวณที่จะจัดทำเป็นแปลงที่อยู่อาศัยและทำกินตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตามผังที่ดินที่คณะอนุกรรมการนโยบายที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ (คทช. จังหวัดเชียงใหม่)ได้พิจารณาเห็นชอบแล้ว
โซน 1 ตั้งอยู่หมู่ที่ 6 ตำบลสันต้นหมื้อ อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ (ไม่ใช่อำเภอฝาง ตามที่มีการเสนอข่าว) โดยมีเนื้อที่ที่รื้อถอนเพียง 120 ไร่ จากพื้นที่โซน 1 ทั้งหมด จำนวน 986 ไร่
จัดที่ดินให้เกษตรกร จำนวน 60 ราย รายละ 2 ไร่
คงเหลือพื้นที่เกษตรกรรมแปลงรวมในโซน (แปลงต้นส้ม) จำนวน 711 ไร่ ซึ่งจะอนุญาตให้สหกรณ์การเกษตร ที่จะจัดตั้งขึ้นจากการรวมตัวของเกษตรกรดังกล่าวเข้าทำประโยชน์สวนส้ม โดยการทำสัญญาเช่ากับ ส.ป.ก. ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ) ได้มอบนโยบายในการจัดที่ดินให้ยังคงการทำประโยชน์เป็นสวนส้มเหมือนเดิม
การดำเนินการดังกล่าวข้างต้นนี้ ส.ป.ก. ได้ประชุมหารือและทำความเข้าใจกับเจ้าของสวนส้มเดิม รวมถึง บริษัท สวนส้มธนาธร จำกัด เป็นระยะ จนเป็นที่เข้าใจแล้ว
การดำเนินการปรับพื้นที่ เพื่อจัดทำเป็นแปลงที่อยู่อาศัยและทำกินตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามผังที่ดินดังกล่าว จะดำเนินการในแต่ละโซน ได้แก่ โซน 1-5 ดังนั้น การนำเสนอข้อมูลว่า ส.ป.ก. จะรื้อถอนต้นส้มทิ้งทั้งหมด จำนวน 5,000 ไร่เศษ และจะจัดที่ดินแปลงโล่งเตียนให้แก่เกษตรกร จึงไม่เป็นความจริง และเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงเป็นอย่างมาก
2.2 กรณีที่มีการอ้างว่าเจ้าของสวนร้องว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม
ส.ป.ก. ชี้แจงว่า บริษัท สวนส้มธนาธร จำกัด ทำสวนส้มอยู่ในท้องที่อำเภอแม่อาย และอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ โดยให้ชื่อว่า สวนธนาธร 1-9
สำหรับสวนส้มที่อยู่ในพื้นที่เป้าหมาย ได้แก่ สวนธนาธร 3-7 และ 9 (บางส่วน)
สวนธนาธร 1 สวนธนาธร 2 สวนธนาธร 8 (บางส่วน) และสวนธนาธร 9 (บางส่วน) อยู่นอกเขตปฏิรูปที่ดิน
ที่ดินส่วนที่อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน มีความเป็นมา ดังนี้
“ที่ตั้งและความเป็นมาของพื้นที่ที่ยึดคืนสวนส้มมา เดิมอยู่ในเขตป่าไม้ ต่อมาได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดินในบริเวณดังกล่าว ส.ป.ก. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ได้มาเพื่อใช้ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามกฎหมาย ดังนั้น บุคคลผู้อ้างการครอบครองที่ดินก่อนมีการประกาศเขตปฏิรูปที่ดินจึงเป็นผู้กระทำความผิดตามกฎหมายป่าไม้ในขณะนั้น และต่อมาเมื่อที่ดินดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ ส.ป.ก. และผู้ครอบครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินไม่ยินยอมเข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม การครอบครองที่ดินของบุคคลดังกล่าวจึงเป็นการครอบครองที่ดินโดยมิชอบด้วยกฎหมายตลอดมา
เมื่อได้มีการประกาศพื้นที่เป้าหมายเพื่อดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 36/2559 ในบริเวณดังกล่าว บริษัท สวนส้มธนาธร จำกัด ได้ยื่นสำเนาหลักฐานสัญญาการสละสิทธิ์ครอบครองฯ (ซื้อขาย) กับชาวบ้านผู้ครอบครองที่ดินเดิม จำนวน 148 ราย และผลการพิจารณาคำร้องปรากฏโดยแจ้งชัดว่าบริษัทดังกล่าวไม่มีหลักฐานแสดงสิทธิในที่ดินตามกฎหมายกำหนด
อีกทั้งไม่มีคุณสมบัติเป็นเกษตรกรที่อาจได้รับการจัดที่ดินตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจึงได้ดำเนินการตามกระบวนการยึดคืนที่ดินเพื่อนำมาจัดให้แก่เกษตรกรผู้ยากไร้
ดังนั้น การนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการครอบครองที่ดินของบริษัท สวนส้มธนาธร จำกัด ในรายการดังกล่าว จึงมีลักษณะเป็นการนำเสนอที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงและไม่มีรายละเอียดความเป็นมาที่ถูกต้องตลอดจนเป็นการแสดงความคิดเห็นที่อาจเข้าลักษณะเป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ซึ่งกระทำการตามหน้าที่หรือเพราะได้กระทำการตามหน้าที่ และหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา”
3. น่าคิดว่า นักธุรกิจที่เข้าครอบครองที่ ส.ป.ก.โดยมิชอบได้หลายพันไร่ ย่อม
ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา
อยู่มาได้หลายรัฐบาล ย่อมมีสายสัมพันธ์ทางการเมือง ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ
น่าเสียดาย... เมื่อ คสช.จัดการเด็ดขาด เพื่อเอาที่ดินมาจัดสรรแก่เกษตรกร โดยดำเนินการอย่างมีแบบแผน แจกแจงข้อมูลชัดเจนว่าจะจัดแบ่งพื้นที่อย่างไร เพื่อประโยชน์แก่เกษตรกรในการเข้าไปใช้ที่ดิน เพื่อความมั่นคงในชีวิตระยะยาว แต่กลับมีคนพยายามบิดเบือน โจมตีการดำเนินการตามนโยบายดังกล่าว
โดยให้ความเห็นเอนเอียงเข้าข้างเอกชนที่เสียผลประโยชน์
น่าคิดว่า ก็ลองไม่ไถ ไม่รื้ออะไรเลย แต่จัดสรรที่ดินให้เกษตรกรรายคนตามแบบที่เคยเป็นมาในอดีต โดยให้สหกรณ์เกษตรเข้ามาสวมบทบาทบริหารสวนส้มแทนบริษัทเอกชนเลย ตามที่อ้างกันนั้น เล็งเห็นไม่ยากว่า ในเมื่อการทำสวนส้มพาณิชย์เป็นเรื่องที่ต้องใช้ต้นทุนมิใช่น้อย สารเคมีเพียบ แถมระบบบริหารจัดการ ทั้งการผลิตและการตลาด ต้องทำธุรกิจครบวงจร โดยไม่คำนึงว่าเกษตรกรที่จะได้รับจัดสรรนั้นมีความเชี่ยวชาญแค่ไหน อย่างไร แตกต่างจากนักธุรกิจที่ทำอยู่เดิมอย่างไร สุดท้าย ย่อมไม่พ้นเงื้อมมือของกลุ่มทุนเดิมๆ โดยเฉพาะในวันที่ คสช.พ้นอำนาจไปแล้ว
เพราะฉะนั้น การจัดสรรและจัดแบ่งพื้นที่ใช้สอย ตามแบบแผนที่ดำเนินการตามนโยบาย คสช.นั้น นับว่าเป็นหนทางที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว อาจเก็บต้นส้มไว้ได้บ้าง แต่ต้องมีการจัดการพื้นที่ให้เหมาะสมด้วย
อย่าคิดจะให้ชาวบ้านสวมบทบาทนักธุรกิจสวนส้มต่อจากบริษัทใหญ่เสียทั้งหมดเลย
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี