นับวันชาวโลกจะเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากขึ้นทุกที จากที่อดีตคนไทยเป็นกันน้อยมาก กว่าจะเป็นก็อายุล่วงแล้ว 60 ปีขึ้นไป แต่ทุกวันนี้แม้เด็กอายุ 35 ปี ก็เริ่มเป็นความดันกันแล้ว และเมื่อเป็นแล้วก็ต้องกินยาควบคุมความดันกันตลอดชีวิต
ที่สำคัญ โรคความดันโลหิตสูงเป็นต้นเหตุของโรคอีกหลายโรค เช่น โรคไต โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ซึ่งบางทีก็เรียกโรคพวกนี้เป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นวงศาคณาญาติเดียวกันว่าเป็นพวกโรคไร้เชื้อ แต่เป็นโรคที่รักษายาก เป็นแล้วต้องรักษากันตลอดชีวิต แล้วก็จะเป็นกันทั้งชุด
แต่ละโรคล้วนร้ายแรงและถึงตายทั้งนั้น โรคหัวใจตายง่ายหน่อย ไม่ค่อยทรมาน โรคเบาหวานทรมานมากหน่อย ส่วนโรคความดันโลหิตสูง
ก็เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ทรมานผู้คนเกี่ยวข้องให้ได้รับความเดือดร้อนเป็นอันมาก ล้วนเป็นโรคที่ล้างผลาญทรัพย์สินเงินทองและความสุขในครอบครัวจนหมดสิ้น
แต่กระนั้นถึงวันนี้ก็ดูเหมือนว่าหามีใครใส่ใจที่จะเฉลียวใจค้นคว้าหาเหตุผลกันเลยว่าทำไมคนทุกวันนี้อายุไม่มากก็เป็นความดันโลหิตสูงกันแล้ว เป็นความดันโลหิตสูงแล้วก็จะเป็นโรคหัวใจ เป็นโรคเบาหวาน โรคไต โดยเฉพาะโรคไตนั้นเป็นกันอย่างสนุกสนาน จนโรงพยาบาลหรือกิจการฟอกไตกำลังเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด มันสนุกเสียที่ไหน! แล้วไฉนเล่าจึงไม่มีใครเฉลียวใจค้นคว้าหาสาเหตุ
เพราะถ้าไม่ค้นคว้าหาสาเหตุแล้วก็ไม่มีทางแก้ไขปัญหาได้ ธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ว่าสิ่งทั้งหลายล้วนเกิดจากเหตุ เมื่อจะแก้ไขผลอันใด ก็ต้องแก้ไขที่เหตุ ครอบครัวของโรคนี้ก็ต้องเกิดจากเหตุอย่างแน่นอน และย่อมสามารถรักษาให้หายขาดได้อย่างแน่นอนด้วย เพราะเมื่อใดที่แก้ไขต้นเหตุได้ เมื่อนั้นก็ย่อมรักษาโรคให้หายได้ พระธรรมนี้เป็นอกาลิโก ขอจงมีความเชื่อมั่นเถิดว่าเป็นจริงแท้แน่นอน
แล้วจะมาตั้งความเฉลียวใจสังเกตกันตรงไหนเล่า? ก็ต้องตั้งความเฉลียวใจตั้งความสังเกตกันสองข้อ
ข้อแรก ทำไมคนทุกวันนี้จึงเป็นโรคความดันโลหิตสูงกันตั้งแต่ยังหนุ่มสาว อายุ 30 กว่าๆ ก็เป็นโรคความดันโลหิตสูงกันแล้ว ทั้งๆ ที่
ก่อนหน้านี้มีความเป็นโรคความดันโลหิตสูงกันน้อยมาก กว่าจะเป็นกันก็อายุล่วง 60 ปีแล้ว ถ้าพบสาเหตุตรงนี้ก็จะป้องกันคนหนุ่มสาวหรือคนอายุต่ำกว่า 60 ปี ไม่ให้เป็นโรคความดันโลหิตสูงได้
ข้อสอง ทำไมเป็นโรคความดันโลหิตสูงแล้ว ไม่นานนักจะเป็นโรคไตตามมา เป็นโรคเบาหวานตามมา และเป็นโรคหัวใจติดตามมา จะเป็นอะไรก่อนหลังก็ไม่ห่างกันเท่าใดนัก และถ้าสังเกตให้ดี เมื่อไปตรวจความดันในแต่ละงวด หมอก็จะตรวจหัวใจเสมอไป บางทีก็ตรวจไต ตรวจน้ำตาลด้วย นั่นเพราะอะไร? ซึ่งถ้าหากรู้เรื่องนี้แล้วก็จะเห็นว่าผลจากการเป็นความดันและการรักษาโรคความดันโลหิตสูงนั่นแหละเป็นต้นเหตุ
เมื่อตั้งความเฉลียวใจสังเกตฉะนี้แล้ว ก็พบสมมุติฐานที่เพียรพร่ำสังเกตกันมาช้านานแล้วว่า
ประการแรก การที่ผู้คนเป็นโรคความดันโลหิตสูงตั้งแต่หนุ่มสาวผิดกับสมัยก่อนๆ นั้นเป็นเพราะอาหาร และพฤติกรรมกิจวัตรประจำวัน
ในสมัยก่อนๆ นั้นคนเรากินอาหารปรุงเอง ทำเอง โดยเฉพาะใช้น้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันหมูซึ่งเป็นน้ำมันธรรมชาติในการหุงหาอาหารและค้นพบกันแล้วว่าเซลล์ของน้ำมันพวกนี้ไม่อิ่มตัว ไม่เป็นต้นเหตุให้เกิดคราบไคลในหลอดเลือด ไม่เป็นเหตุให้หลอดเลือดตีบลง เลือดจึงไปหล่อเลี้ยงได้ตามปกติ
แต่สมัยนี้อาหารจำนวนมากใช้น้ำมันและใช้น้ำมันพืช สุดเลวร้ายกว่านี้ก็คือใช้น้ำมันพืชจากพืชที่ตัดต่อพันธุกรรมและได้ผลเป็นน้ำมันที่อิ่มตัวซึ่งมีโมเลกุลยาว ทำให้เกิดคราบไคลขึ้นในหลอดเลือด จากนั้นไขมันก็จะเกาะเพิ่มขึ้น อายุไม่ทันถึง 40 ปี หลอดเลือดก็แคบลง เลือดไปหล่อเลี้ยงไม่สะดวก หัวใจก็ต้องบีบแรงขึ้น จึงเป็นต้นเหตุของโรคความดัน
พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า อาหารนี้แหละคือต้นเหตุความเป็นไปในกายนี้ คนเราจะอ่อนแอ แข็งแรง จะมีโรคภัยใดๆ ย่อมมีอาหารเป็นปัจจัยเป็นต้นเหตุ ดังนั้นจึงต้องแก้ต้นเหตุคืออาหาร แล้วหันกลับไปบริโภคอาหารแบบอย่างในอดีต เลิกกินอาหารแดกด่วนที่บรรดาเจ้าสัวเขาทำมาให้กิน เลิกการใช้น้ำมันที่ทำจากถั่วหรือพืช แล้วหันมาใช้น้ำมันธรรมชาติ ไม่ว่าจากมะพร้าวหรือน้ำมันหมูก็ได้ เพียงเท่านี้ก็จะป้องกันคนหนุ่มสาวของเราไม่ให้เป็นโรคความดันโลหิตสูงได้ ถึงหากจะเป็นก็โน่นแหละ ขอให้ไปเป็นตอนอายุ 60-70 ปีก็ยังดี
ประการที่สอง การที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงแล้วไม่นานก็จะเป็นโรคไต โรคเบาหวาน หรือโรคหัวใจ นั่นเป็นผลข้างเคียงของยารักษาความดันซึ่งเป็นสารเคมี เป็นเหตุ เป็นปัจจัยกันดังต่อไปนี้
ข้อแรก ปริมาณในการกินยานั้นแพทย์จะสั่งตามที่ผู้ผลิตยากำหนดไว้ ซึ่งผู้ผลิตยานั้นกำหนดขนาดยาไว้สำหรับฝรั่งเป็นหลัก ฝรั่งถ้าเปรียบก็เหมือนนกพิราบ แต่คนไทยเปรียบเหมือนนกกระจอก ดังนั้นกินยาขนาดของฝรั่งจึงมากเกินและส่งผลกระทบให้เกิดโรคอื่นตามมาเร็วขึ้นกว่าปกติ ที่สำคัญคือแพทย์สั่งยาตามขนาดที่ถูกกำหนดมา โดยขาดการคำนึงว่าผู้ป่วยจำเป็นจะต้องรับยาถึงขนาดนั้นหรือไม่ แท้จริงแล้วกรณีจำนวนมากใช้ยาเพียงครึ่งเดียวก็พอเหมาะพอดีแล้ว เมื่อมากเกินไปก็เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย หรือบางครั้งก็สั่งให้กินยาผิดเวลา ทำให้เกิดโรคอื่นตามมาอีก
ข้อสอง ยาความดันทุกชนิดเป็นยาที่ส่งผลต่อหัวใจ ตับ และไต อวัยวะใดอ่อนแอกว่าก็จะได้รับผลกระทบก่อน ถ้าไตได้รับผลกระทบก็เป็นโรคไต และมีอาการไตวายเป็นที่สุด ถ้าเป็นที่ตับอ่อนก็จะเป็นเหตุให้เกิดโรคเบาหวาน ถ้าเป็นที่หัวใจก็หัวใจวายหรือตีบตันตามเหตุปัจจัยนั้น ดังนั้นถ้าห่างยาเคมีเหล่านี้เสียได้แหละเป็นอันดีที่สุด เพราะยาความดันนี่แหละคือเหตุของโรคร้ายแรงที่จะตามมาเป็นขบวน
แล้วจะทำอย่างไรจึงจะไม่เข้าไปอยู่หรือสามารถออกจากวงจรการใช้ยาความดันโลหิตสูงได้?
ก่อนอื่นก็ต้องบอกว่ายาความดันนั้นถ้ากินแต่พอประมาณก็สามารถกินได้ถึง 10,000 วัน แต่โดยทั่วไปมักจะเกินกำหนดที่ร่างกายจะรับได้และเป็นเหตุให้เกิดผลข้างเคียง
ถัดมาก็ต้องกำจัดที่ต้นเหตุดังที่ได้พรรณนามาแล้ว คือพยายามประพฤติปฏิบัติตัวในเรื่องอาหารที่ไม่กินอาหารอันเป็นต้นเหตุของความดันโลหิตสูง และพฤติกรรมกิจวัตรประจำวันที่ไม่นั่งมากเกินไป ไม่เครียดเกินไป มีความเป็นปกติของชีวิตให้มากขึ้น
และถ้าหากทราบว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูงก็หาทางเลือกอื่นที่ไม่ต้องใช้ยา เช่น การแพทย์ทางเลือก เป็นต้น ตำรับยาไทยแต่โบราณมียารักษาโรคความดันโลหิตสูงจำนวนมาก แต่เพราะเหตุที่ความใจแคบของผู้มีอำนาจจึงทำลายแบบแผนยาของไทยจนหมดสิ้น เพียงแค่ฟื้นฟูตำรับยาไทยขึ้นมาก็จะสามารถรักษาโรคความดันโลหิตสูงให้หายขาดได้
หรือแม้จะรักษาโดยวิธีการฝังเข็ม ซึ่งมีแบบแผนสืบเนื่องมากว่า 3,000 ปีแล้ว
ภูมิปัญญาตะวันออกนั้นถือว่าความดันเลือดสูงนั้นเป็นผลมาจากเส้นเลือดคู่หนึ่ง ในขณะที่ผ่านจุดสำคัญสองจุดบริเวณต้นคอ หรือที่เรียกว่าจุดต้าจุ้ยตีบหรือแคบลง โดยความตีบหรือแคบลงนั้นเป็นผลมาจากการกดดันของกล้ามเนื้อที่แข็งตัวขึ้น อันเป็นผลมาจากอาหารบ้าง เป็นผลมาจากอิริยาบถบ้าง เป็นผลมาจากความเครียดบ้าง เมื่อนานเข้ากล้ามเนื้อก็แข็งตัว เกิดอาการเมื่อย ซึ่งเป็นสัญญาณบีบเส้นเลือดที่ผ่านจุดต้าจุ้ยนั้น ทำให้เลือดขึ้นไปเลี้ยงสมองน้อยลง
เมื่อเลือดไปเลี้ยงสมองน้อยลง หัวใจก็บีบหนักขึ้นเพื่อให้มีปริมาณเลือดไปหล่อเลี้ยงเพียงพอ นานเข้าก็กลายเป็นโรคความดันโลหิตสูง
ดังนั้นแบบแผนการรักษาตามภูมิปัญญาตะวันออกจึงใช้วิธีการฝังเข็มที่จุดต้าจุ้ย ซึ่งเป็นจุดของกล้ามเนื้อสองจุด ที่กระทบต่อเส้นเลือดคู่ที่เกี่ยวข้องกับการหล่อเลี้ยงสมอง เมื่อกล้ามเนื้อคลายตัว เลือดไปหล่อเลี้ยงสมองปกติ หัวใจก็ทำงานปกติ อาการปวดหัวมึนงงก็จะหายไป
การรักษาโดยวิธีฝังเข็มนั้นก็ไม่ใช่ยากเย็นอะไรนักหนา มีผู้มีวิชาความรู้อยู่มากมาย ขึ้นอยู่กับว่าจะส่งเสริมสนับสนุนหรือไม่เท่านั้น นี่จึงเป็นทางเลือกใหม่อีกทางหนึ่งของคนไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี