นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ลงพื้นที่รัวๆ ระยะหลัง
ด้านหนึ่ง ย่อมเป็นเรื่องปกติ และเป็นเรื่องดี ที่ผู้บริหารประเทศลงไปสัมผัสกับสภาพความเป็นจริงในพื้นที่ ไปเป็นกำลังใจให้ชาวบ้าน ไปขับเคลื่อนงานพัฒนาในพื้นที่
อย่างเมื่อคราวลงไปตรังล่าสุด อดีตนายกฯ ชวน หลีกภัย ก็แสดงความขอบคุณแทนชาวบ้าน
“ขอขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่ และไปดูโครงการขุดคลองลัดระบายน้ำแม่น้ำตรังลงทะเลที่ล่าช้า ซึ่งแต่เดิมโครงการนี้เคยมีการของบประมาณในช่วงปี 2557 เพื่อจัดสร้างอยู่ที่ 1,400 ล้านบาท ต่อมา เมื่อมีการยึดอำนาจ วันที่ 22 พ.ค. 2557 งบนี้ก็ถูกยกเลิกไป จึงทำให้โครงการนี้ก่อสร้างล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น ต่อมา จึงได้ประสานทางกรมชลประทานเพื่อสานต่อโครงการนี้ โดยได้งบฯ 995 ล้านบาท และมีบริษัทผู้ประมูลงานรับเหมาไปได้ที่ 670 ล้านบาท ซึ่งเดิมกลัวว่าผู้รับเหมาจะทิ้งงาน แต่เมื่อลงไปดูสภาพแล้วก็ต้องเห็นใจผู้รับเหมา เพราะฝนตกหนักและบ่อย ทำให้การก่อสร้างล่าช้า แต่ทราบว่านายกรัฐมนตรีได้เร่งรัดให้เสร็จภายในปี 2561”
ขณะที่อีกด้านหนึ่ง การลงพื้นที่ของหัวหน้า คสช. ก็อาจจะมีนัยทางการเมือง
1. คงจำได้ ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ลงพื้นที่สุพรรณบุรี
ว่ากันว่า จับปลาไหลได้ตัวเบ้อเริ่ม
ครั้งนั้น แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา อาทิ นายวราวุธ ศิลปอาชา บุตรชายนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี และประธานสโมสรสุพรรณบุรีเอฟซี, นายประภัตร โพธสุธน, นายกรวีและนายภราดร ปริศนานันทกุล อดีตสส.อ่างทอง, นายณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ นายสรชัด สุจิตต์ อดีตสส.สุพรรณบุรี และนายเสมอกัน เที่ยงธรรม อดีตสส. สุพรรณบุรี ต้อนรับคึกคัก
พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวว่า รัฐบาลไม่ได้เลือกข้าง แต่ทุกคนต้องมาช่วยกันทำให้ประเทศเข้มแข็งและยั่งยืน ดีใจที่พบนักการเมือง ซึ่งนักการเมืองก็ต้องสัญญาว่าจะทำให้ประเทศดีขึ้น และนักการเมืองต้องไม่ผิดสัญญา
“ผมฝากกับพี่ประภัตร ฝากกับท็อป ขอฝากความหวังไว้กับทุกคน เราจะต้องไม่ขัดแย้งกันอีก เราต้องเดินหน้าให้ได้ ส่วนคดีใครถูกผิด ถูกตัดสิน ก็ว่ากันไปตามกระบวนการ และผมไม่ใช้มาตรา 44 ไปตัดสินใคร อยากให้พี่ประภัตร นึกถึงคนจังหวัดอื่นด้วย เป็นรัฐบาลคราวหน้าก็นึกถึงคนจังหวัดอื่นด้วย” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายประภัตรยังได้แสดงความเห็นต่อหน้าพล.อ.ประยุทธ์ว่า ถ้าประเทศยังไม่ปรองดองก็ไม่ต้องเลือกตั้ง แต่มีข้อแม้ว่า นายกฯต้องลงพื้นที่บ่อยๆ ขอบคุณที่นายกฯ เปิดใจรับการเมือง เพราะนักการเมืองไม่ได้เลวทุกคน นักการเมืองดีก็มี ซึ่งการเลือกตั้งเร็วไม่ได้ประโยชน์ เพราะวันนี้ทะเลาะกัน ถ้าเลือกตั้งก็ต้องด่ากัน วันนี้ขอเพียงรัฐบาลแบ่งงบประมาณจากการโครงการรถไฟความเร็วสูงมาช่วยชาวนา เพราะเมื่อปากท้องของประชาชนอยู่ได้ นายกฯ จะอยู่อีก 8 ปี 10 ปี ตนก็ไม่ว่า
2. ล่าสุด นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตสส.สุโขทัย และแกนนำกลุ่มมัชฌิมา พรรคภูมิใจไทย โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คส่วนตัว กรณีพล.อ.ประยุทธ์ จะนำคณะรัฐมนตรีลงพื้นที่ ครม.สัญจร ที่ จ.พิษณุโลก และสุโขทัย ในวันที่ 25-26 ธันวาคมนี้ ระบุว่า เป็นโอกาสดีมากๆ ของ จ.สุโขทัย ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย จะได้นำเสนอของบประมาณเพื่อพัฒนา จ.สุโขทัย ในส่วนของท้องถิ่นหรือท้องที่จะได้มีโอกาสนำเสนอปัญหาและรายงานการแก้ปัญหาต่างๆ ของประชาชน จ.สุโขทัย โดยการนำของนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สุโขทัย
“งานนี้ ถ้า จ.สุโขทัย ได้งบประมาณน้อยกว่า 5,000,000,000 บาท ถือว่าขาดทุน แต่ผมมั่นใจว่า ผวจ.และนายกอบจ.สุโขทัย จะทำหน้าที่อย่างหนัก เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาและส่งเสริมในด้านต่างๆ เพื่อให้ได้งบประมาณมาพัฒนา จ.สุโขทัยอย่างเต็มที่ รวมทั้งจังหวัดใกล้เคียง เช่น พิจิตร กำแพงเพชร ตาก แพร่ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก ตนคิดว่าทุกคนคงตื่นเต้น ดีใจ ตามคำโบราณที่กล่าวว่า ช้างเหยียบนา พญาเหยียบเมือง หมายความว่าคนที่อยู่ในเมืองนั้นๆ จะต้องเตรียมตัวและหาโอกาสที่จะเข้าพบ หากใครมีความสามารถเข้าถึงและพูดคุยได้ ความเจริญรุ่งเรืองก็จะตามมา”
นายสมศักดิ์ยังนำเสนอ 3 เรื่อง ได้แก่
1.โครงการนำวัวให้ประชาชนยืมไปเลี้ยง โดยคิดตามจำนวนน้ำหนักเป็นกิโลกรัม ไม่ใช่ขอยืมเป็นเงิน เมื่อยืมไปแล้วครบ 10 ปี หรือในระยะเวลา 10 ปี ถ้าราษฎรที่ยืมไปมีความพร้อมที่จะนำกลับมาคืน ก็ให้นำมาคืนตามจำนวนน้ำหนักเป็นกิโลกรัมจากจำนวนที่ยืมไป
2.เรื่องการสร้างความปรองดอง เมื่อเราได้พูดคุยกับผู้มีอำนาจเต็มแล้ว เชื่อว่าคงเป็นเรื่องง่ายมากๆ อาจมีการของดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราชั่วคราวเป็นเวลา 1 ปี เพื่อความปรองดองในประเทศ ส่วนโรดแมปจะเป็นอย่างไรนั้น คงต้องใช้เวลาในการพูดคุยอธิบายทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน
3.การสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นที่เป็นเรื่องยากสำหรับรัฐบาลเลือกตั้ง แต่คิดว่ารัฐบาลที่มีอำนาจเต็มสามารถทำได้ ทั้งนี้ถ้าสร้างเขื่อนแห่งนี้แล้ว ปัญหาน้ำท่วมจะหมดไป ไม่ใช่เฉพาะ จ.สุโขทัย หรือจังหวัดในลุ่มน้ำยมที่ได้ประโยชน์ แต่จะได้ประโยชน์กันถ้วนหน้าจนถึงกรุงเทพฯ
3. หากเราต้องการสังคมประชาธิปไตย เราคงต้องเปิดรับฟังความเห็นที่อาจจะแตกต่างจากเรา
กรณีข้อเสนอของนายสมศักดิ์ ก็เป็นเรื่องที่สามารถนำเสนอได้ และสังคมควรพิจารณาบนพื้นฐานของเหตุผลและข้อเท็จจริง ไม่ควรจะด่วนไปด่ากราด ปิดปาก มิให้พูด เพียงเพราะเป็นอดีตนักการเมืองระบอบทักษิณ
แต่หัวหน้า คสช.จะเอาด้วยหรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ขณะนี้ นายสมศักดิ์ยังไม่ได้เจอนายกฯ ประยุทธ์ ยังไม่ได้นำเสนอรายละเอียดเลยด้วยซ้ำ และนายกฯ ประยุทธ์ก็ยังไม่ได้ตกปากรับว่าจะเอาด้วยกับข้อเสนอใดๆ เลย แต่ก็ยังมีคนด่าไว้ล่วงหน้าแล้ว
ดังนั้น ท่าทีและการตัดสินใจของหัวหน้า คสช. -นายกรัฐมนตรีนั้น จะต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ มุมมองอื่นๆ อย่างรอบคอบรอบด้านต่อไป
มิฉะนั้น การลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีจะเละตุ้มเป๊ะ
จะกลายเป็นการลงไปแจกโครงการ และลงไปหาดีลทางการเมืองเต็มรูปแบบ เข้าลักษณะเดียวกับที่นักการเมืองในบางยุคเคยใช้วีธี “แบ่งแยกแล้วปกครอง”
4. ยกตัวอย่าง ข้อเสนอเรื่องโครงการเอาโคไปให้ชาวบ้านยืมเลี้ยงนั้น ก็เข้ารูปรอยเดิมกับโครงการที่นายสมศักดิ์เคยผลักดันในยุครัฐบาลทักษิณเมื่อครั้งโน้น
ในชื่อ “โครงการโคล้านตัว” หรือ “โครงการวัวเอื้ออาทร” หรือ “โคล้านครอบครัว”
โครงการวัวล้านตัวไทยรักไทย เริ่มผลักดันตั้งแต่ปี 2547 โดยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เอามาหาเสียงในการเลือกตั้งปี 2548
เคยดำเนินการแล้ว ก่อนจะล้มเหลวไม่เป็นท่า
รัฐบาลทักษิณอนุมัติงบประมาณ 4,426 ล้านบาท ตั้งเป้าว่า ปี 2549 จัดซื้อโค 5 แสนตัว แจกให้กับเกษตรกร 2.5 แสนครอบครัว ส่วนปี 2550 จะแจกโค 7 แสนตัว ให้กับ 3.5 แสนครอบครัว และปี 2551 จะแจกโค 8 แสนตัว ให้กับ 4 แสนครอบครัว
มีการโปรโมทด้วยการใช้เพลง “โคแก้จน” แอ๊ด คาราบาว ขับร้อง
ตอนหลัง นายสมศักดิ์ถูกปรับออกไปจากกระทรงเกษตรฯ โครงการก็เปลี่ยนแปลงไป กระทั่งให้บริษัทส่งเสริมธุรกิจการเกษตรไทย (สธท.) เข้ามาดูแล เป็นนิติบุคคลเฉพาะกิจ ในลักษณะ SPV (Special Purpose Vehicle) ที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด ทำหน้าที่เป็นผู้จัดซื้อและแจกโคให้กับเกษตรกรเพื่อเลี้ยง โดย สธท.จะรับซื้อในราคาที่กำหนดตามอายุ และน้ำหนักของโคตามสายพันธุ์
สุดท้าย โครงการก็ไปไม่รอด เจ๊งไม่เป็นท่า
แถมเกษตรกรพลอยติดร่างแห จวนเจียนจะถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายคืนจำนวนมาก
หลังจากนั้น ครม.จึงมีมติให้ยุบเลิกบริษัทส่งเสริมธุรกิจเกษตรไทย จำกัด (สธท.)
โดยบริษัท สธท. ได้สรุปผลการทำงานตามโครงการส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อล้านครอบครัวว่า ได้มีการดำเนินการจัดหาโคเนื้อให้เกษตรกรไปแล้วจำนวน 21,684 ตัว ขณะนี้คงเหลือโคของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการอยู่ระหว่างการรอจำหน่าย 64 ตัว เป็นจำนวนเงิน 6.8 แสนบาท และมีโคที่เกษตรกรลักลอบขายออกไปอยู่ระหว่าง ดำเนินคดี 4,519 ตัว เป็นเงินค้างชำระจำนวน 42.70 ล้านบาท
คณะกรรมการ สธท. พิจารณาแล้วเห็นว่าถ้ามีการฟ้องคดีกับเกษตรกรต่อไป บริษัท สธท.จะเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินการสูงและใช้ระยะเวลานานหลายปี ดังนั้น การยุบเลิกบริษัท สธท. จะเป็นแนวทางที่เหมาะสม ประกอบกับ สธท.ไม่มีความพร้อมในการดำเนินการฟ้องร้องคดีแพ่งกับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคที่ลักลอบขายโคและค้างชำระได้ เพราะการดำเนินคดีส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ชนบท ทำให้มีการฟ้องร้องดำเนินคดีสูงและใช้เวลานาน อาจทำให้เสียภาพลักษณ์และแรงต่อต้านจากกลุ่มเกษตรกร
ยังไม่ได้กล่าวถึงโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น แตะเมื่อไหร่ ลุกเป็นไฟทุกที
นายสมศักดิ์ควรทำเป็นนโยบายเสนอพรรคการเมือง เพื่อใช้หาเสียงก่อนเลือกตั้งไปเลย น่าจะดีกว่า
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี