เปิดมาปีใหม่ก็เหมือนเราจะเจอสิ่งอะไรที่ไม่ใหม่ แต่เป็นสิ่งที่ไม่คาดคิด ด้วยการออกมาเซอร์ไพรส์ของนายกฯจากเดิมที่ประกาศแน่ชัดว่า โรดแมปการเลือกตั้งที่ยืนยันมั่นเหมาะมาเสมอว่าจะมีการเลือกตั้งในปีนี้ แต่คำพูดของนายกฯล่าสุดที่ว่า “ผมประกาศไว้เลยถ้าสถานการณ์ยังมีความขัดแย้งสูง การเลือกตั้งได้รึเปล่า ผมไม่รู้ ....ถ้าไม่สงบ ถ้าเลือกตั้งไปแล้วยังมีการตีกันอยู่ ผมก็รับผิดชอบไม่ได้” แต่ก็ยังกั๊กด้วยคำพูดที่ว่า “แต่ไม่ได้หมายความว่า ผมจะเลื่อนเลือกตั้งออกไป เพียงแต่พูดปรามไว้”
คำพูดดังกล่าวสะเทือนไปหลายวงการและอย่าคิดว่าจะสะเทือนแต่เฉพาะพรรคการเมือง ขอให้รู้ไว้ นักธุรกิจเจ้าของโรงงาน ห้าง ร้านค้า ตลอดจนนักลงทุนต่างประเทศก็สะเทือนกับคำพูดนี้ไม่น้อย เพราะบรรยากาศและสภาวการณ์ของประเทศในวันนี้ เหมือนเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ที่วันนั้นภาคธุรกิจต้องการความนิ่งทางการเมือง เพื่อยุติความขัดแย้ง ให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ แต่วันนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ประกอบกับเรื่องข่าวคราวทุจริตที่เริ่มทยอยออกมา อย่างล่าสุดเรื่องรถเมล์ ขสมก.ที่ดูเหมือนจะมีอะไรแปลกๆ ไม่ต่างจากเดิม ยิ่งเป็นอีกตัวสำคัญที่ตอกย้ำให้สังคมต้องการความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง
ย้อนกลับไปปี 2017 ที่ผ่านมา เกิดการเปลี่ยนแปลง ขึ้นทั่วโลก ทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งกล่าวไปในบทความก่อนหน้า ทั้งหมดสะท้อนความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่มาจากความต้องการเปลี่ยนแปลงของประชาชน ขณะที่ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ล้วนมาจากปัจจัยความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อการเปลี่ยนผู้นำประเทศ เพราะตัวเลขที่ดีขึ้นเกิดขึ้นเพียงไม่กี่เดือนหลังผู้นำใหม่เข้าบริหารงาน ซึ่งแทบจะยังไม่ต้องออกนโยบายหรือมาตรการด้วยซ้ำ
ขณะที่ย้อนกลับมาดูประเทศไทย ตลอดสามปีกว่าแห่งการบริหารประเทศและการเมืองให้นิ่งถือว่า ประสบความสำเร็จ แต่ต่อโจทย์เรื่องการปฏิรูปประเทศนั้น ถือว่าได้มีการแถลงและดำเนินการผ่าน สปช. และสปท. หมดงบไปมาก แต่กลับไม่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริงในสังคมไทยเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งเรื่องการปฏิรูปตำรวจเอง มีแต่ประชุม ตั้งคณะกรรมการ แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรแม้แต่อย่างเดียว แต่สิ่งที่ คสช.ทำได้มากคือ เรื่องการออกฎหมายที่ต้องยกให้เป็นมือวางอันดับที่ 1 เพราะมีผลงานออกกฎหมายตั้งแต่รับตำแหน่งกว่า 321 ฉบับในเวลา 3 ปียังไม่รวมร่างกฎหมายที่กำลังเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาอีกหลายร้อยฉบับ แต่พบว่า เป็นกฎหมายที่ออกเพื่อเพิ่มอำนาจให้ข้าราชการมากมาย เบ็ดเสร็จ บางอำนาจก็ให้ข้าราชการเป็นทั้งผู้กำหนดนโยบาย ผู้ดำเนินนโยบาย และผู้ตรวจสอบในหน่วยงานเดียวกัน ซึ่งหลายคนตั้งข้อสงสัยว่าอำนาจแบบนี้มันผิดหลักการตรวจสอบถ่วงดุลหรือไม่?
ในขณะที่ภารกิจที่ควรจะเป็นภารกิจของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง คือ การพัฒนาประเทศ และแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ถือว่ากลับบริหารไม่เข้าเป้าในรัฐบาลรักษาการชั่วคราวชุดนี้ ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะอันที่จริง ไม่มีใครคาดหวังกับรัฐบาลคนกลางในภารกิจแบบนี้อยู่แล้ว ที่กล่าวว่าควรเป็นภารกิจของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะสิ่งเหล่านี้มาจากความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลาของประชาชนว่า ต้องการให้ประเทศไปในทางใด และมีปัญหาในแต่ละช่วงเวลาอย่างไร
ที่บอกว่าบริหารไม่สำเร็จเพราะรัฐบาลชั่วคราวที่ว่านี้ไม่มีส่วนยึดโยงกับความคิด และปัญหาของประชาชนแม้แต่น้อย ซึ่งก็ไม่ผิด เพียงแต่ระยะเวลาการดำรงตำแหน่งที่ยาวนาน ทำให้ปัญหาหมักหมมนานเกินไป และการพัฒนาประเทศเกิดขึ้นช้าเกินไป ขณะที่วันนี้ดูเหมือนจะส่อแววเลื่อนการเลือกตั้งออกไปอีก ถ้าเป็นเช่นนั้น เราก็จำเป็นต้องเอาความจริงออกมาพูด ให้เกิดการแก้ไขเปลี่ยนแปลง ไม่ให้ปัญหาลุกลามและแย่ไปกว่านี้ เพราถ้าจะต้องอยู่กันแบบนี้ต่อไป ก็ต้องแก้ปัญหาให้ถูกจุด ทั้งเรื่องการแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตร ปัญหาการวางแผนการผลิตสินค้าเกษตร ปัญหาการส่งเสริมการตลาดภาคเกษตร ต้องยอมรับว่าช่วงสามปีที่ผ่านมา เราไม่ได้แค่ไม่พัฒนา ไม่ได้แค่หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่กำลังถดถอยไปจนเกือบถึงจุดต่ำสุด ไม่น้อยไปกว่า 30 ปี ด้วยทีมรัฐมนตรีอาวุโส สายข้าราชการของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งในกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรฯ ที่ล้มเหลว ล่าช้า สนใจพ่อค้ามากกว่าประชาชน?
หรือแม้แต่ความไม่กล้าดำเนินนโยบายและทิ้งทุกอย่างเพื่อรักษาและกอดไว้แน่นในระเบียบราชการ เพื่อให้ตัวเองอยู่รอดบนหอคอยงาช้าง ไม่สนความเป็นอยู่ประชาชน หนี้สินประชาชน ใช่หรือไม่? จนทำให้กองหนุนของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ที่เป็นเกษตรกร แม้แต่ในภาคใต้เอง วันนี้ก็จะตายหมดแล้ว? ยังไม่นับการแก้ปัญหาอื่นทางเศรษฐกิจที่ใช้มาตรา 44 เป็นตัวนำ ดูเหมือนจะเร็ว แต่กลับสร้างปัญหา อย่างกรณีแก้ปัญหาประมงที่กลับสร้างปัญหาต่อภาคอุตสาหกรรมและแรงงานอย่างสาหัส ภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะห้องเย็นขาดทุนมหาศาลจากการตัดสินใจดำเนินนโยบายของนายกฯที่เชื่อ รมต.สายข้าราชการทั้งหลายถูกระเบียบราชการทุกอย่าง แต่ประชาชนตายก็ไม่สน ถูกกฎทุกอย่าง แต่เศรษฐกิจพังทลาย ก็ไม่สน และที่มากกว่านั้นรมต.เหล่านั้นยังอยู่ใน ครม.เพียงแต่เปลี่ยนเก้าอี้เท่านั้น
อีกหน้าที่หนึ่งของรัฐบาลรักษาการคือการสร้างกติกาใหม่และการเตรียมพร้อมสู่การเลือกตั้ง เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม และป้องกันวงเวียนการเมืองไทยไม่ให้วนซ้ำสู่วงจรน้ำเน่า แต่สิ่งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะช่วงท้ายๆ ที่มีกลิ่นและท่าทีแปลกๆ ตั้งแต่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ จนถึงความไม่ชัดเจนในการปลดล็อกทางการเมืองเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่การเลือกตั้ง จนล่าสุด ที่ดูเหมือนบุคคลในแม่น้ำ 5 สายของคสช.จากที่มีหน้าที่เป็นตัวกลางทางการเมือง กลับจะกลายมาเป็นผู้เล่นทางการเมืองแทน ใช่หรือไม่? แม้กระทั่งตัวนายกฯเองก็ไม่ออกมาพูดอย่างเต็มปากว่า จะไม่เข้าสู่สนามเลือกตั้ง เพียงแต่ตอบเลี่ยงประเด็นไป ใช่หรือไม่?
ประกอบกับเหตุการณ์ที่หลายคนเรียกว่า “การตีเมืองขึ้น” ที่เริ่มความแตกช่วงปลายปี’60 ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อการปลดล็อกเตรียมสู่การเลือกตั้ง ส่งไม้ต่อบริหารประเทศให้กับพรรคการเมือง ปรากฏกระบวนการหลังบ้านคสช.ที่คิดอย่างไรไม่ทราบได้? หรือยังทำภารกิจตั้งพรรคใหม่หรือกระบวนการบางอย่างเสร็จสิ้นไม่ทัน จึงทำให้กระบวนการปลดล็อกไม่เกิดขึ้นจริงตามเวลาที่ควรจะเป็น สิ่งที่เกิดขึ้นช่วงโค้งสุดท้ายจึงกลายเป็นการลงพื้นที่ของนายกฯไปต่างจังหวัดที่บังเอิญเป็นจังหวัดของซุ้มการเมืองเก่าทั้งหลาย ตั้งแต่สุพรรณบุรี สุโขทัย ราชบุรี และนครปฐม ทั้งที่เปิดเผยและไม่เปิดเผย แต่สุดท้ายก็มีภาพถ่ายที่สนามกอล์ฟหลุดออกมาให้ได้ตั้งข้อสงสัยกันว่า มีอะไรเกิดขึ้นที่นั่น? ถึงจะออกมาปฏิเสธว่าไม่มีการพูดคุยเรื่องการเมืองก็ตาม แต่ก็ไม่มีใครบอกได้ว่า เบื้องหลังความบังเอิญที่แท้จริงคืออะไร? มีการเจรจาอะไรหรือไม่? แต่หากนับยอดไป-มาก็ไม่รู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงคืออะไร?
แต่หากในวันหน้ากลุ่มก๊วนการเมืองเหล่านี้ไม่ว่าจะใช้พรรคเดิมหรือตั้งพรรคใหม่มาอยู่ใต้มุ้งใคร จนสุดท้ายได้เข้าร่วมรัฐบาลหน้า ที่มีคนในรัฐบาลชุดนี้เข้าร่วมละก็ คงจะมีคนหัวเราะหงายท้องกันเป็นแถวเพราะนอกจากวิธีแบบนี้เคยเกิดขึ้นแล้วสมัยปี 2544 ที่มีการรวบกลุ่มก๊วนต่างๆ ตลอดจนรวบทั้งพรรคมาไว้ในพรรคเดียว แล้วสิ่งเหล่านี้ยังสะท้อนความคิดของคนที่มีอำนาจวางแผนอะไรเช่นนี้ว่า ช่างดูถูกประชาชนและไร้ซึ่งความหวังให้กับอนาคตของประเทศ ไม่มีความหวังการปฏิรูปการเมืองแม้แต่น้อย แม้แต่การสร้างความปรองดองจนผ่านมาถึงวินาทีนี้ ก็ยังไม่มีการสร้างอะไรให้จีรัง ใช่หรือไม่?
จริงๆ แล้วต้องบอกว่าแม้จะเลื่อนเลือกตั้งปีนี้ออกไป แต่นี่คือช่วงการนับถอยหลังของรัฐบาล คสช. แล้ว ถึงเวลาหรือยังที่จะทำอะไรบางอย่างที่ยังไม่ได้ทำ อาจต้องใคร่ครวญว่า เข้ามารับตำแหน่งใหม่ๆ มีความมุ่งหวังคาดหวังอะไรกับการก้าวขึ้นสู่อำนาจ? อะไรที่อยากทำ อยากแก้ หรืออยากเห็นความเปลี่ยนแปลงจริงๆ อย่าให้เวลามาเปลี่ยนเป้าหมายเดิม อย่าทำให้ความคาดหวังของประชาชนต้องสูญเปล่า.....
............................
“...คนที่ท่านต้องการจะลืมที่สุด ก็คือเป็นคนที่ท่านไม่อาจจะลืมได้...”
(คำคมโกวเล้ง จากฤทธิ์มีดสั้น)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี