ปัญหาความขัดแย้งคาบสมุทรเกาหลีที่ตึงเครียดขั้นสูงสุดเพราะสหรัฐได้เคลื่อนแสนยานุภาพครั้งใหญ่ที่สุด ประกอบด้วยกองเรือบรรทุกเครื่องบิน 3 กอง ขบวนเรือดำน้ำ ขบวนเครื่องบินรบโจมตีจำนวนมาก ขบวนเครื่องบินยักษ์สำหรับทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ถึง 4 ลำ ได้เงียบไปพักหนึ่งแล้ว และความขัดแย้งได้ไปโผล่ที่ตะวันออกกลาง โดยการประกาศรับรองว่าเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล
สรุปรวมก็คือการใช้แสนยานุภาพกดดันข่มขู่คุกคามเกาหลีเหนือไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเกาหลีเหนือไม่ยอมเลิกพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ และประกาศความสำเร็จที่ได้บรรลุถึงเป้าหมาย เป็นประเทศผู้มีอาวุธนิวเคลียร์รายล่าสุดของโลก และเป็นอาวุธนิวเคลียร์ที่มีเป้าหมายโจมตีสหรัฐให้วายวอดทั้งประเทศเป็นหลัก
นอกจากเกาหลีเหนือมีดีเช่นนั้นแล้ว ยังได้รับการค้ำประกันทั้งจากรัสเซียและจีน ภายใต้โครงการสนับสนุนให้เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้เจรจากันอย่างสันติ โดยเกาหลีเหนือจะไม่ถูกโจมตีจากสหรัฐ และเกาหลีใต้จะไม่ถูกโจมตีจากเกาหลีเหนือ
การให้หลักประกันดังกล่าวแก่สองเกาหลีไม่ใช่พูดแค่ปากเปล่าลมๆ แล้งๆ โดยรัสเซียได้เคลื่อนแสนยานุภาพขนานใหญ่ไปเสริมที่ฐานทัพวลาดิวอสต็อก และที่คาบสมุทรคัมชัตคา ซึ่งเท่ากับเอาปืนไปจี้ที่ศีรษะและใบหน้าของสหรัฐ ทั้งยังส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ไปบินสำรวจน่านฟ้าใกล้กับสหรัฐเป็นระยะๆ และได้ติดตั้งขีปนาวุธต่อต้านขีปนาวุธและต่อต้านอากาศยานทุกชนิดที่ทันสมัยที่สุดไว้ที่พรมแดนรัสเซีย-เกาหลีเหนือ ซึ่งเท่ากับเป็นการประกาศว่าถ้ามีการโจมตีเกาหลีเหนือ รัสเซียก็พร้อมเข้าขัดขวางทันที
ทางด้านจีนก็เช่นเดียวกัน มีการเคลื่อนศึกกำลังทางบกเข้าประชิดพรมแดนเกาหลีเหนือเป็นทีว่ากองทัพปลดแอกพร้อมที่จะเข้าไปสนับสนุนเกาหลีเหนือหากว่ามีการโจมตีทางบก ทั้งได้ส่งเครื่องบินโจมตีความเร็วเหนือเสียงแบบล่องหนขึ้นไปบินลาดตระเวนน่านฟ้าให้กับเกาหลีเหนือ และบินตลอดไปจนถึงทะเลจีนตะวันออก โฉบเฉี่ยวญี่ปุ่นและเกาะกวมเล่นเป็นขวัญตา
เมื่อเป็นเช่นนี้สหรัฐก็ขยับอะไรไม่ได้ สองเกาหลีโดยเฉพาะเกาหลีใต้นั้นรู้ดีว่าภายใต้แรงกดดันให้ระวังเกาหลีเหนือนั้น สหรัฐกลับส่งทหารเข้ามายึดครองเกาหลีใต้เสียเอง และเรียกเอาค่าใช้จ่ายต่างๆ จากเกาหลีใต้ รวมทั้งทำให้เศรษฐกิจเกาหลีใต้พังพินาศ เพราะทั่วทั้งประเทศกลับมาจมปรักอยู่กับความขัดแย้งและสงคราม
ดังนั้นโครงการสันติภาพของสองเกาหลีที่เสนอโดยรัสเซียและจีนจึงสอดคล้องกับผลประโยชน์ร่วมกันของสองเกาหลี การเจรจาสันติภาพจึงเกิดขึ้น และก้าวรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจจำแนกได้เป็นสองกระบวนการ คือ
กระบวนการแรก คือ กระบวนการสร้างกระแสสันติระหว่างสองเกาหลีอย่างเร่งด่วนที่สุด โดยใช้โอกาสที่มีการแข่งขันโอลิมปิกที่เกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพ ซึ่งผลการดำเนินการปรากฏว่าทั้งสองเกาหลีจะใช้ธงรวมชาติเกาหลีเป็นธงในการนำขบวนของสองนักกีฬาเกาหลี และใช้ทีมนักกีฬาของสองเกาหลีเป็นทีมเดียวกัน และจะมีการจัดแสดงดนตรีแห่งสันติภาพในงานแข่งขันครั้งนี้ด้วย
ข้อตกลงเป็นไปอย่างราบรื่น เกาหลีเหนือจึงส่งผู้นำระดับสูงและน้องสาวของประธานาธิบดีคิม จอง อึน นำคณะนักกีฬาเกาหลีเหนือเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ ซึ่งประธานาธิบดีและผู้นำระดับต่างๆ ของเกาหลีใต้ต้อนรับอย่างอบอุ่นและสมเกียรติ ที่สำคัญคือในงานแสดงดนตรีเพื่อสันติภาพ นักร้องที่มีชื่อเสียงมากที่สุดทั้งสองชาติได้ร่วมกันร้องเพลงรวมชาติเกาหลีต่อหน้าผู้นำทั้งสองฝ่าย
การปูพื้นฐานให้กับการเจรจาเพื่อการรวมชาติคึกคักและมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง
กระบวนการที่สอง เป็นกระบวนการทางการเมือง เพื่อสร้างสันติภาพและการรวมชาติ ในกระบวนการนี้ทางเกาหลีเหนือได้มีคำเชิญอย่างเป็นทางการให้ประธานาธิบดีเกาหลีใต้เดินทางเยือนอย่างเป็นทางการเพื่อเจรจาสุดยอดระหว่าง 2 ผู้นำ เพื่อการนี้ทางเกาหลีเหนือเสนอมอบของขวัญชิ้นสำคัญให้แก่เกาหลีใต้ในกรณีที่มีการเดินทางเยือนตามคำเชิญ นั่นคือจะมีการมอบขีปนาวุธติดอาวุธนิวเคลียร์ที่เกาหลีเหนือผลิตได้ให้แก่เกาหลีใต้เพื่อแสดงความจริงใจ
ซึ่งจะต้องคอยจับตาดูต่อไปว่า ถ้ามีการเยือนและมอบของขวัญดังกล่าวกันจริงๆ แล้วก็อาจเป็นไปได้ว่าเกาหลีใต้อาจมอบของขวัญชิ้นสำคัญที่ถูกสหรัฐบังคับขายด้วยราคาแพงลิ่วถึง 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐ คือระบบขีปนาวุธต่อต้านขีปนาวุธ THAAD ให้แก่เกาหลีเหนือก็เป็นไปได้
สถานการณ์อันเป็นไปบนคาบสมุทรเกาหลีดังกล่าวนั้น สะท้อนให้เห็นว่ากระแสสันติภาพและการพัฒนาที่นำโดยรัสเซียและจีนมีพลานุภาพที่ยิ่งใหญ่มาก สามารถรับมือและตีกลับกระแสความขัดแย้งและสงครามที่นำโดยสหรัฐและญี่ปุ่นได้ ก่อให้เกิดบรรยากาศการรวมชาติของสองเกาหลีที่เป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้นเป็นครั้งแรก
ประเทศที่อิหลักอิเหลื่อมากที่สุดก็คงเป็นญี่ปุ่น ซึ่งเพิ่งถูกกดดันให้ฟื้นลัทธิทหารแบบสมัยนายพลโตโจขึ้นมาใหม่ ที่จะต้องรับพลังและแรงกดดันหนักหน่วงยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือจะทำให้ระบบเศรษฐกิจญี่ปุ่นพินาศวายวอดยิ่งกว่าเก่า
ผลกระทบดังกล่าวนั้นย่อมมีถึงประเทศไทยด้วยในฐานะที่ประพฤติตนเป็นลูกกะโล่ ออกนอกแถวของอาเซียนในการแซงก์ชั่นเกาหลีเหนือ ราวกับว่าเกาหลีเหนือเป็นศัตรูของประเทศไทย ทั้งที่ไม่ใช่กงการของประเทศไทย โดยเฉพาะการเที่ยวประณามเกาหลีเหนือ ตามก้นชาติอื่นโดยไม่คำนึงถึงทางไมตรีระหว่างไทยกับเกาหลีเหนือ แต่ก็ไม่สายเกินไปที่จะกลับตัวเสียใหม่
คงจะจำกันได้ว่า หลังจากประณามเกาหลีเหนือเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ แทนที่เกาหลีเหนือจะตอบโต้ด้วยท่าทีรุนแรง แต่เกาหลีเหนือกลับยื่นไมตรีมาแทน โดยการส่งสาส์นแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสวันชาติ โดยทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฉบับหนึ่ง และส่งให้แก่รัฐบาลไทยอีกฉบับหนึ่ง
ถึงเวลาที่ประเทศไทยจะต้องเป็นไทแก่ตัว เลิกประพฤติตนเป็นข้าของชาติอื่นได้แล้ว อย่างน้อยที่สุดก็ควรถือตามท่าทีร่วมกันของอาเซียน ซึ่งโดยรวมก็คือเป็นท่าทีที่เป็นไท และบนผลประโยชน์ร่วมกันของอาเซียน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี