อย่างไรก็ตาม วันนี้ก็ต้องมาถึง เมื่อวันที่ 2 มี.ค. ที่ผ่านมา กกต.ได้เปิดให้มีการจดทะเบียนพรรคการเมืองใหม่ ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า เหตุใดถึงให้พรรคใหม่เคลื่อนตัวก่อนพรรคการเมืองเดิม อย่างไรก็ตามพบว่าภายหลัง ที่ให้มีการจดจองชื่อพรรค พบว่าในวันแรกมีผู้จดทะเบียนชื่อพรรคกว่า 42 พรรค และยังสามารถจดทะเบียนได้ถึงวันที่ 31 มี.ค. 2561 สำหรับวันแรกมีพรรคการเมือง ที่เป็นจุดสนใจ อย่างพรรคพลังธรรม ที่ได้กลับมาจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่อีกครั้งภายใต้ชื่อ พรรคพลังธรรมใหม่ โดยนพ.ระวี มาศฉมาดล ซึ่งเป็นอดีตสส.พรรคพลังธรรมเดิม ในขณะที่พรรคการเมืองหลายพรรค ที่มีกระแสว่าจะจดทะเบียน แต่ก็ยังไม่มาจดทะเบียนในวันแรกนั้น ที่โดดเด่นก็คือ พรรคใหม่ที่ยังไม่มีชื่อที่กำลังเป็นกระแสเปิดตัวตามสื่อต่างๆอย่างชัดเจน ที่มีกระแสข่าวว่าจะไปจดทะเบียนในวันที่ 15 มี.ค. นี้ รวมถึงพรรคที่คาดว่าจะจดทะเบียนเป็นพรรคสุดท้ายในการจดทะเบียนพรรคการเมืองใหม่ คือ พรรคมวลมหาประชาชนฯ ที่เป็นระดับบิ๊กแกนนำกปปส.อย่างนายสาธิต วงศ์หนองเตย ได้ออกมาเปิดเผยตรงๆว่าพรรคที่จัดตั้งขึ้นใหม่เป็นเรื่องของภารกิจมวลมหาประชาชนที่ยังไม่จบ แต่ทั้งสองพรรคใหม่ที่ยังไม่มาจดฯ ก็ยังไม่มีการประกาศชื่อหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคแต่อย่างใดและว่าที่หัวหน้าพรรคใหม่จะเป็นใคร? ที่น่าสังเกตคือทั้งสองพรรคใหม่นี้ต้องยอมรับว่ามีกลิ่นอายความไม่ใหม่จริงอยู่ไม่น้อย ซึ่งจะได้กล่าวต่อไปในบทความนี้
ขณะที่ฝั่งพรรคการเมืองเดิมอย่างพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย ที่ยังคงแสดงท่าทีอึดอัดต่อรัฐบาลคสช.ต่อการจำกัดวงการเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองเดิม ที่ให้กระทำการเริ่มต้นหลังพรรคการเมืองใหม่ ที่จะออกอาการชัดเจนหน่อยคือ พรรคประชาธิปัตย์ ที่ดูเหมือนจะมี
ปฏิกิริยาต่อการประกาศตัวในการจัดตั้งพรรคการเมืองของกลุ่มกปปส. หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า มีเค้าลางอะไรบางอย่าง ที่แม้จะมีคำพูดว่าไม่มีความขัดแย้ง แต่ดูเหมือนอาจไม่เป็นอย่างที่พูด โดยเฉพาะการที่ระดับรองหัวหน้าฯออกมาเน้นย้ำให้อดีตสส. และผู้สมัคร ยืนยันสถานะของตนเองจนเกิดกระแสกระเพื่อมภายในใช่หรือไม่? ซึ่งต้องยอมรับว่าการประกาศจัดตั้งพรรคของกปปส. ได้สร้างความหวั่นไหว ให้กับฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ หรือไม่? ในขณะที่พรรคเพื่อไทย แม้จะพอคาดเดาได้ว่า บางส่วนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน ตลอดจนถึงแกนนำหรือผู้เกี่ยวข้องในกลุ่มคนเสื้อแดง เกี่ยวพันทับซ้อนกับพรรคการเมืองใหม่ที่กำลังมีการประชาสัมพันธ์ต่อเนื่องตอนนี้ แต่กลับไม่พบการปริปากใดๆ เลยจากระดับบิ๊กจนถึงระดับล่างในพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็นคำตอบว่าใช่ หรือคำตอบว่าไม่ใช่ก็ตาม อย่างไรก็ตามบิ๊กสองพรรคใหญ่ นับวันยิ่งแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับการทำงานในหลายเรื่องของรัฐบาลคสช.มากขึ้น
ตรงกันข้ามกับพรรคการเมืองใหม่อย่างพรรคพลังธรรมใหม่ ซึ่งแม้จะเป็นพรรคการเมืองภายใต้การจดทะเบียนชื่อใหม่ แต่ก็รู้ได้ไม่ยากว่ามีพื้นฐานจากพรรคพลังธรรมเดิมที่ถูกยุบไปในปี 2550 ซึ่งในอดีตมีพล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นหัวหน้าพรรค และภายหลังได้กลายมาเป็นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในช่วงก่อนรัฐประหารปี 2549 ซึ่งต่อมาได้ลดบทบาทลงในช่วงการเมือง 10 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นการกลับมาใหม่ในครั้งนี้ หลายคนจึงตั้งข้อสังเกตว่าเป็นหนึ่งในพรรคที่สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯต่อใช่หรือไม่? เพราะมีถ้อยคำสัมภาษณ์จากหัวหน้าพรรคในทำนองว่า หากมีความจำเป็นก็พร้อมจะเปิดทางให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯคนนอกได้
ประเด็นสำคัญของการปฏิรูปการเมืองที่ประชาชนกำลังมองหาการเมืองแนวใหม่ ไม่ว่าจากพรรคการเมืองเดิม หรือพรรคการเมืองใหม่ก็ตาม เพื่อลบภาพความเบื่อหน่ายของประชาชนต่อปัญหาเดิมๆ ของพรรคการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ประกอบกับการเลือกตั้งครั้งหน้านี้ จะมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรกเป็นจำนวนมาก ไม่ต่ำกว่า 7-8 ช่วงอายุ ซึ่งกลุ่มเป้าหมายคือ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นคนรุ่นใหม่ เลยไปจนถึงกลุ่มคนวัยทำงานที่เพิ่งเริ่มทำงาน ที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง จากคนรุ่นเก่าหรือรูปแบบการเมืองเดิมๆ ซึ่งต้องยอมรับว่าสองขั้วพรรคการเมืองเดิม อย่างประชาธิปัตย์ และเพื่อไทย ก็ยังมีภาพลักษณ์ที่ยังไม่ตรงใจคนรุ่นใหม่เท่าไรนัก
กระแสสังคมจึงพุ่งเป้าไปที่พรรคการเมืองใหม่ที่ถูกจัดตั้งในตอนนี้ โดยตลอดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พบการประชาสัมพันธ์และการสื่อสารทางการตลอดอย่างเป็นระบบของการเปิดตัวกลุ่มการเมืองใหม่ที่ระบุว่ายังไม่มีชื่อพรรค โดยมีแกนนำหลักจากทั้งคนที่มีนามสกุลดังของอดีตรัฐมนตรีในพรรคไทยรักไทย และอาจารย์ชื่อดังที่เคยออกมาเรียกร้องประเด็น ม.112 แม้จะถูกมองว่ามีส่วนเชื่อมโยงกับกลุ่มเครือข่ายระบอบทักษิณในหลายๆ ประเด็นอย่างปฏิเสธลำบาก? หรือแม้จะถูกวิจารณ์ว่ามีประเด็นเรื่องอุดมการณ์ ที่ล่อแหลมบางอย่าง โดยเฉพาะการเชื่อมโยงกับสื่อที่เกี่ยวข้องกับการพูดถึง ม.112 ซึ่งในสังคมยังมีคนที่คิดเห็นเรื่องนี้แตกต่างกันอยู่มาก แต่ก็ต้องยอมรับว่าโลกนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบอาจมีปมหรือประเด็นบ้าง สิ่งสำคัญต้องดูที่เนื้อหา นโยบาย และเป้าหมายซ่อนเร้นเป็นสำคัญโดยหากเจาะลงไปที่เนื้อหาก็กลับพบว่า แนวคิดระดับแกนนำประกาศที่จะใช้แผนทำธุรกิจมาบริหารประเทศ ซึ่งประเทศไทยก็เคยผิดพลาดมาแล้วจากการใช้การบริหารประเทศแบบธุรกิจ ในช่วงปี 2544-2549 จนทำให้เกิดการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย
ตลอดจนการเลี่ยงภาษีของนายทุนอันเนื่องมาจากนโยบายของรัฐบาลนายทุนขณะนั้น เพราะในความเป็นจริงประเทศไทยยังมีความเหลื่อมล้ำและความเท่าเทียมทางโอกาส หรือพื้นฐานทรัพยากรที่ไม่เท่ากันตั้งแต่ต้น การที่จะบอกว่าให้สิ่งที่เท่ากัน ความเป็นจริงคือไม่เท่ากัน มุมมองของลูกคนรวย จึงไม่อาจเข้าถึงความยากแค้นของคนจนได้เลย รวมถึงข้อเสนอในทำนองให้รื้อคดีทางการเมืองเดิมใหม่อีกครั้งที่ยังพูดคลุมเครือไม่ชัดเจน จึงน่าเป็นห่วงว่าอาจจะทำให้หลายฝ่ายเข้าใจผิดว่ามีอะไรแอบแฝงซ่อนเร้นหรือไม่? แต่ก็น่าชื่นชมในความหวังดีต่อประเทศชาติ แล้วก็เป็นจุดเริ่มต้นให้คนรุ่นใหม่ได้กล้าออกมายืนบนเวทีการเมืองมากขึ้น
ในขณะที่พรรคการเมืองจากฐานกปปส.ที่ประกาศว่าจะมาสืบสานต่อภารกิจเดิม หลายฝ่ายก็ยังคงตั้งคำถามต่อการมีส่วนในการปฏิรูปประเทศหลังการรัฐประหาร ว่าได้ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศใดๆ ขึ้นบ้างหรือยัง? ซึ่งหัวใจที่แท้จริงของการปฏิรูปคืออะไร? ตลอดจนความไม่ชัดเจนของแกนนำกปปส.เดิม ถึงสิ่งที่เคยประกาศไว้ก่อนรัฐประหารกับเหตุผลในการขับเคลื่อนเพื่อตั้งพรรคการเมืองในครั้งนี้ เอาเข้าจริงหากคิดที่จะปฏิรูปการเมือง ควรต้องปฏิรูปที่พรรคการเมือง เพราะพรรคการเมืองคือคำตอบและทางออกของประเทศอย่างแท้จริงต่อการเมืองในอนาคต ไม่มีใครปฏิเสธว่าการรัฐประหารที่ผ่านมาก็มีส่วนช่วยในการหยุดการฆ่าฟันของคนไทยด้วยกันเองจากกรณีที่เริ่มมีผู้เสียชีวิตแล้วในช่วงเวลานั้น การเมืองในระบอบประชาธิปไตย ปลายทางแล้วต้องพัฒนาประชาชนให้เข้มแข็ง และพรรคการเมืองให้เข้มแข็ง
พรรคการเมืองใหม่ที่เกิดขึ้นก็อาจมีโอกาสพัฒนาไปเป็นสถาบันการเมืองอันเป็นที่พึ่งของประเทศชาติได้ในอนาคต แต่ก็ต้องไม่ลืมที่จะต้องปฏิรูปพรรคการเมืองเดิมที่มีโครงสร้างในสังคมอยู่แล้ว ให้เปลี่ยนแปลงสอดรับกับยุคสมัยและเป็นที่พึ่งให้กับสังคมได้ ณ วันนี้จึงยังเป็นหน้าที่สำคัญของคสช.ที่ควรต้องทำทั้งการสนับสนุนให้พรรคการเมืองเดิมเข้มแข็ง และสร้างพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่เข้าการเมืองได้มากขึ้น จึงจะถือว่าได้ช่วยปฏิรูปการเมืองประเทศอย่างแท้จริงมากกว่าการทำลายความเข้มแข็งของพรรคการเมือง แล้วสนับสนุนให้คนรอบตัวฐานอำนาจปัจจุบัน เข้าสู่การเมืองด้วยวิธีพิเศษในอนาคต เช่นนี้แล้วคสช.ก็ยังเป็นที่พึ่งของสังคมได้ต่อไป แม้หลังเลือกตั้งแล้วก็ตาม…
“...ผู้ที่ติดค้างบุญคุณคนอื่น บางทีอาจยังปวดร้าวกว่าถูกติดค้างอีก...”
คำคมโกวเล้งจากเรื่อง ดาวตก ผีเสื้อ กระบี่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี