วันที่ 13 เมษายน ของทุกปี ตรงกับวันผู้สูงอายุ
น่าสนใจว่า “ผู้สูงอายุ” หรือ “คนแก่” ในการรับรู้ของสังคมปัจจุบันเป็นอย่างไร?
1. ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” ร่วมกับ ศูนย์วิจัยสังคมสูงอายุ (Center for Aging Society Research – CASR) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง ““คนแก่” ในความคิดของคนไทย” พบข้อมูลและมุมมองที่น่าสนใจ
ขอประมวลมาคุยง่ายๆ ดังนี้
1.1 แก่ หรือไม่แก่ ดูตรงไหน? ในสายตาของคนที่ยังอายุไม่ถึง 60 ปี
ประเด็นว่า อะไรคือตัวบอกว่าคนไหนคือคนแก่ หรือ คนชรา?
ปรากฏว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 47.78 ระบุว่า เมื่อพบว่าสุขภาพเสื่อมลง/เลวลง
รองลงมา ร้อยละ 34.85 ระบุว่า เมื่ออายุย่างเข้า 65 ปี
รองลงมา ร้อยละ 20.89 ระบุว่า เมื่ออายุย่างเข้า 75 ปี
รองลงมา ร้อยละ 19.44 ระบุว่า เมื่อเกิดลืมชื่อที่คุ้นเคยบ่อยๆ(มักจะนึกชื่อคนรู้จักไม่ออกบ่อยๆ)
และ ร้อยละ 17.58 ระบุว่า เมื่อเกษียณงาน (หยุดทำงาน)
แบบนี้ ก็น่าคิดว่า คำกล่าวที่ว่า “อายุเป็นเพียงตัวเลข” ก็พอจะใช้ได้อยู่ หากว่าใครก็ตามอายุมากขึ้น แต่สุขภาพยังดีอยู่ ก็จะยังไม่ถูกมองว่าเป็นคนแก่นั่นเอง
1.2 สิ่งที่ไม่ดี เมื่อแก่แล้ว คืออะไร? ในมุมมองของคนที่ยังไม่แก่ (อายุ 18 – 59 ปี)
ประเด็นนี้ น่าสนใจ เพราะอาจสะท้อนสิ่งที่คนยังไม่แก่กังวลใจอยู่ลึกๆ พบว่า
อันดับ 1 ร้อยละ 58.53 ระบุว่า เจ็บป่วยหนัก
รองลงมา อันดับ 2 ร้อยละ 55.53 ระบุว่า ความจำเสื่อม
อันดับ 3 ร้อยละ 32.37 ระบุว่า เป็นภาระ (ต่อลูกหลาน/ครอบครัว/สังคม)
อันดับ 4 ร้อยละ 29.37 ระบุว่า ซึมเศร้า
และอันดับ 5 ร้อยละ 27.82 ระบุว่า เหงา
น่าคิดว่า สิ่งเหล่านี้ คือ ความกังวลลึกๆ สำหรับคนที่ยังไม่แก่กลัวว่าพอถึงวันแก่แล้วตัวเองจะเป็นอย่างไร
ขณะเดียวกัน ในการสำรวจก็มีการสอบถามด้วยว่า สิ่งที่ดี เมื่อแก่แล้ว คืออะไร? พบว่า
ร้อยละ 66.80 ระบุว่า มีเวลากับครอบครัวมากขึ้น
รองลงมา ร้อยละ 45.60 ระบุว่า มีเวลามากขึ้นสำหรับทำสิ่งที่สนใจ/งานอดิเรก
ร้อยละ 38.88 ระบุว่า ได้รับความนับถือมากขึ้น
ร้อยละ 31.85 ระบุว่า ท่องเที่ยวได้มากขึ้น
ร้อยละ 29.06 ระบุว่า มีความเครียดน้อยลง
สิ่งนี้ น่าจะสะท้อนความหวังสำหรับคนที่ยังไม่แก่ ว่าลึกๆ แล้ว หวังว่าวันที่ตนเองแก่ไปแล้ว จะมีด้านดีอะไรบ้าง?
ทั้งหมดนี้ ช่วยเตือนสติทุกคน โดยเฉพาะคนที่ยังไม่แก่ ว่าสักวันเราก็จะต้องแก่
และเมื่อสำรวจความต้องการเฉพาะตนแล้ว สามารถจะนำมาวางแผนเพื่ออนาคตการแก่ที่มีความสุขได้
2. ในแง่สังคมประเทศชาติ การปฏิรูปประเทศด้านสังคม เป็นหนึ่งใน 11 ด้าน ของการปฏิรูปประเทศที่ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560
ล่าสุด ประกาศแผนและขั้นตอนการปฏิรูปด้านสังคมในราชกิจจานุเบกษาแล้วด้วย ก็ปรากฏว่า มีการสะท้อนถึงสภาวะสังคมสูงวัยอยู่หลายมิติ หลายจุด เช่น
สะท้อนสถานการณ์และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรไปสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์
ระบุว่า ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ในปี 2564 โดยจะมีสัดส่วนของผู้สูงอายุถึงร้อยละ 20 และสัดส่วนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่วัยเด็กและวัยแรงงานมีสัดส่วนลดลง โดยวัยเด็กมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 16 ขณะที่วัยแรงงานคิดเป็นร้อยละ 64
และในปี 2579 จะมีสัดส่วนผู้สูงอายุมากถึงร้อยละ 30 ขณะที่วัยเด็กและวัยแรงงานมีสัดส่วนลดลงเหลือ ร้อยละ 14 และ ร้อยละ 56 ตามลำดับ
การลดลงของวัยแรงงานอาจส่งผลต่อรายได้ภาครัฐที่จะนำมาใช้จ่ายในการพัฒนาประเทศ รวมถึงการจัดสวัสดิการต่างๆ ตลอดจนภาระค่าใช้จ่ายในกลุ่มผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ยังระบุไว้ด้วยว่า ประชากรไทยโดยเฉลี่ยมีรายได้ไม่เพียงพอที่จะชดเชยค่าใช้จ่ายตลอดช่วงชีวิต และมีการออมอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลต่อความมั่นคงในการดำรงชีวิตในวัยสูงอายุ
พบว่า ประชากรวัยแรงงานเท่านั้นที่เกินดุลรายได้เฉลี่ยประมาณ 27,860 บาท/คน ขณะที่วัยเด็ก วัยเรียน และวัยสูงอายุมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่ารายได้ อย่างไรก็ตาม รายได้ที่เกินดุลของวัยแรงงานยังไม่สามารถชดเชยหรือปิดส่วนขาดดุลรายได้ของตนเองตลอดช่วงชีวิต
นอกจากนี้ ยังพบว่า การออมของครัวเรือนเฉลี่ยต่อเดือนลดลง จาก 5,758 บาท ในปี 2558 เป็น 5,076 บาท ในปี 2560 และหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้นจาก 156,770 บาท เป็น 177,128 บาท ในช่วงเวลาเดียวกัน
ยิ่งกว่านั้น ยังพบว่า ผู้สูงอายุร้อยละ 24 ไม่มีเงินออม
ทั้งนี้ หน่วยงานภาครัฐและภาคส่วนต่างๆ มีการดำเนินการในการส่งเสริมและขยายความคุ้มครองเพื่อสร้างหลักประกันทางรายได้ให้กับประชากรไทยในวัยสูงอายุ ทั้งแบบบังคับและสมัครใจในกลุ่มผู้ที่อยู่ในระบบและนอกระบบ อาทิ การจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงทางรายได้สำหรับผู้ที่มีอายุ 15-60 ปี ที่ประกอบอาชีพอิสระ และไม่ได้เป็นสมาชิกกองทุนอื่นที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐ อย่างไรก็ตาม มีแรงงานนอกระบบที่สมัครเป็นสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ จำนวน 529,633 คน หรือคิดเป็นเพียงร้อยละ 2.5 จากแรงงานนอกระบบที่มีจำนวนทั้งสิ้น 21.4 ล้านคน
อีกทั้ง สัดส่วนแรงงานไทยที่มีหลักประกันรายได้ทั้งภาคบังคับและสมัครใจมีเพียงประมาณร้อยละ 44 ของแรงงานทั้งหมด และแรงงานส่วนใหญ่ยังมีเงินออมไม่เพียงพอสำหรับการดำรงชีวิตในยามสูงวัย
3. สะท้อนว่า สังคมปัจจุบัน เริ่มรับรู้ถึงสถานการณ์ “สังคมสูงวัย” มากขึ้น และในแผนการปฏิรูปก็มีการกล่าวถึง อีกทั้งรัฐบาล คสช. ก็เริ่มดำเนินการไปบ้าง
ที่สำคัญ คือ ตัวประชาชนเอง ที่ทุกคน ยังไงก็ต้องแก่
จะต้องวางแผน เตรียมการตัวเอง
เพื่อจะได้แก่อย่างเป็นสุข แก่อย่างไม่ต้องลำบากลำบน
เริ่มทันที วันนี้ ในโอกาสวันสูงอายุ 13 เมษายน
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี