เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้พูดว่า ประเทศไทยอยู่ในระบอบประชาธิปไตยที่ล้มเหลว มีการคอร์รัปชั่นกันทุกระดับ ในหมู่ข้าราชการการเมือง ข้าราชการทั่วไป และพนักงานของรัฐ จนทำให้ประเทศไทย ไม่ก้าวหน้าเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านบางประเทศ และยังตกอยู่ในกับดักของความเป็นประเทศรายได้ระดับปานกลาง ความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจน ก็มีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งนี้ เป็นเพราะระบอบประชาธิปไตยที่เราใช้อยู่ เปิดโอกาสให้มีการคอร์รัปชั่นในหมู่นักการเมืองได้ง่าย ขาดการสมดุล หรือการถ่วงอำนาจ ผู้ที่ผ่านบันไดขั้นเดียวมาอยู่ในอำนาจนิติบัญญัติ (เป็น สส., สว.) ก็มุ่งหวังแต่จะก้าวเข้าสู่อำนาจนิติบัญญัติเป็นเป้าหมายหลัก ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆ ด้วยการซื้อเสียงจากผู้เลือกตั้ง ด้วยการซื้อเสียงจาก สส. ด้วยกันเอง ซึ่งในปัจจุบันเรียกว่า ระบบดูด สส. โดยเอาตำแหน่งในอำนาจบริหาร หรือลาภยศ อื่นๆ เข้าล่อ เข้าดูด
วิธีนี้ เป็นวิธีที่จะเข้าสู่อำนาจได้ แต่ไม่ยั่งยืน ขอให้ท่านที่กำลังคิดทำอยู่ในปัจจุบัน ไปศึกษาดูจากประวัติศาสตร์การเมืองไทย ว่าในอดีตทำเช่นนี้มากี่ครั้งแล้วที่ในที่สุดต้องประสบความล้มเหลว ด้วยระบบดูด สส. หรือระบบไดรโว่ นี้
นอกจากระบอบประชาธิปไตยที่เราใช้อยู่ตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 และแบบที่กำลังจะใช้อยู่ต่อไปในระยะอันใกล้นี้ สร้างความจำเป็นแก่ผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติจำนวนไม่น้อย ที่เราเรียกกันว่า “น้ำเน่า” ให้ต้องซื้อเสียงจากประชาชน ให้ต้องรวบรวมเสียงจาก สส. โดยวิธีการดูด หรือไดรโว่ เพื่อก้าวไปสู่อำนาจบริหาร (หรือไปเป็นรัฐบาล) เสียเองแล้ว อันนำไปสู่วงจรแห่งการคอร์รัปชั่น ซึ่งรุนแรงขึ้นทุกวัน (ทั้งเปอร์เซ็นต์ที่เรียกร้อง ทั้งแบบอย่างต่างๆ) ยังก่อให้เกิดภยันตรายร้ายแรงต่อประเทศอีกประการหนึ่ง
นั่นก็คือ รัฐบาลขาดเสถียรภาพ หรือขาดความมั่นคง อยู่ได้ไม่นานพอที่จะทำงานโครงการใหญ่ๆ ที่มีผลต่อความเจริญของประเทศ ต่อความมั่งคั่งของเศรษฐกิจของชาติ ของประชาชน
จากตัวเลขของสัปดาห์ก่อน รัฐบาลที่มาจากฝ่ายนิติบัญญัติมีถึง 27 รัฐบาล ในเวลาเพียง 29 ปี (จากปี พ.ศ.2518 จนถึง พ.ศ.2557)
แทบจะปีละ 1 รัฐบาล แล้วจะไปพัฒนาบ้านเมืองกันได้อย่างไร พอรัฐบาลใหม่เข้ามาก็โยนแผนงานของรัฐบาลเก่าทิ้ง สร้างแผนงานของตนขึ้นใหม่
เหมือนกับประเทศฝรั่งเศส ระหว่างปี พ.ศ.2490 ถึง พ.ศ.2501 เป็นเวลา 11 ปี ซึ่งเรียกว่า “สาธารณรัฐที่ 4” มีรัฐบาล ซึ่งมาจากระบบพรรคการเมืองถึง 22 คณะ ล้มลุกคลุกคลาน มากกว่าเมืองไทยเสียอีก
ทั้งนี้ เพราะระบบการเมืองสร้างความล้มเหลวให้แก่รัฐบาล และไม่มีพรรคการเมืองใด ที่สามารถครองใจประชาชนชาวฝรั่งเศสได้เลย
เหมือนกับเหตุการณ์ในเมืองไทยหรือไม่
แล้วพลเอกชาร์ล เดอ โกล ก็ต้องเข้ามาแก้ไขโดยประกาศรัฐธรรมนูญของ สาธารณรัฐที่ 5 ใช้ระบบใหม่ ซึ่งสร้างเสถียรภาพให้แก่ฝ่ายบริหาร (หรือรัฐบาล) ให้มีความ “มั่นคง” หรือ มี “เสถียรภาพ” มากขึ้น
ฝรั่งเศสจึงเจริญมาได้อยู่ระดับแถวหน้าในปัจจุบันนี้
นักร่างรัฐธรรมนูญของไทย ก็น่าจะไปศึกษาวิธีการของเขาบ้าง หรือคิดนวัตกรรมการเมืองขึ้นมาใหม่ เพื่อสร้างเสถียรภาพ หรือความมั่นคงให้ฝ่ายบริหาร และตัดทอนการคอร์รัปชั่นอันเป็นมะเร็งร้ายของประเทศไทยอยู่ในขณะนี้
สัปดาห์นี้ ผมจะได้มาพูดถึง การคอร์รัปชั่นของฝ่ายบริหาร
ฝ่ายบริหาร แยกออกเป็นสองประเภท คือ ประเภทประจำ ได้แก่ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่ของรัฐ
ประเภทที่สอง ได้แก่ ข้าราชการการเมือง ได้แก่ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เริ่มจาก นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี เลขานุการรัฐมนตรี ที่ปรึกษา และอื่นๆ
สำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐประเภทประจำ ถึงจะไม่ต้องผ่านขั้นบันได 10 ขั้นเหมือนกันฝ่ายตุลาการ แต่ก็ต้องผ่านมาตรฐาน และการกลั่นกรองมาอย่างเข้มงวด ไม่ว่าจะเป็นการสอบเข้าทำงานกระทรวงการต่างประเทศ หรือกระทรวงใดๆ ก็ต้องมีคุณวุฒิ ตามที่ทางการกำหนดไว้ แล้วผ่านการสอบแข่งขัน หรือสอบคัดเลือก ทางการมีตำแหน่ง 20 ตำแหน่ง ก็มักมีผู้เข้าสอบไม่ต่ำกว่า 4,000-5,000 คน แล้วต้องผ่านการสอบสัมภาษณ์อีก กว่าจะได้เป็นข้าราชการ หรือพนักงานของรัฐวิสาหกิจ
กรณีเป็นเช่นเดียวกัน สำหรับการสอบแข่งขันเข้าเป็นข้าราชการทหาร เช่น โรงเรียนเตรียมทหาร โรงเรียนนายสิบ หรือโรงเรียนจ่าทหาร ก็มีผู้เข้าสอบหลายพันคน ต่อจำนวนที่ต้องการไม่กี่ร้อยคน
เมื่อผ่านมาตรฐาน และการกลั่นกรองเบื้องต้นแล้ว พอมาทำงาน ก็จะต้องผ่านการตรวจสอบ การทดสอบ ความอาวุโส และความสามารถกว่าจะไต่เต้าขึ้นไปเป็นนักบริหารของกระทรวง ทบวง กรม ได้ หรือกว่าจะไต่เต้าขึ้นเป็น ผู้กำกับ ผู้บังคับการ ผู้บัญชาการ หรือแม่ทัพ ได้ เรียกได้ตอนนี้ว่า ไม่ต่ำกว่าสิบขั้นบันได เช่น ผู้อยู่ในอำนาจตุลาการเลย
แต่พอเข้ามาเป็นผู้บริหารขั้นสูง ของหน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ แล้ว ก็ต้องมาอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของนักการเมือง ซึ่งผ่านบันไดขั้นเดียวของการเลือกตั้งทั่วไป จำนวนมากไม่เคยมีประสบการณ์ทางบริหารรัฐกิจ ธุรกิจ หรือประชากิจ ที่มีคุณธรรม มาก่อน การปฏิบัติงานด้วยระบบคุณธรรม จึงมักจะต้องเลือนหายไป โดยธุรกิจการเมือง
ซึ่งถือผลประโยชน์ของตน และของพรรคเป็นหลัก ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของประชาชน หรือของประเทศชาติ
เจ้าหน้าที่ของฝ่ายบริหาร (หรือเรียกรวมๆ ว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐ ประเภทประจำ) มากคนเลยต้องปรับตัวเอง โดย “รู้รักษาตัวรอด เป็นยอดดี”
ดูแลรักษาประโยชน์ของนักธุรกิจการเมือง เพื่อความก้าวหน้าของตนเองบ้าง เพื่อความมั่งคั่งจากเศษอาหารที่เหลือบ้าง จนมีบางคนทำตัวเป็นผู้เก็บผลประโยชน์จากผู้รับเหมา เพื่อนำไปมอบแก่นักธุรกิจการเมือง ที่มาเป็นผู้บังคับบัญชา
ระยะแรกของประชาธิปไตย ประมาณ ปี พ.ศ.2475 ถึง พ.ศ.2487 นักการเมืองยังมีอุดมการณ์ มีคุณธรรม มีจริยธรรม
แต่ระยะต่อๆ มา ความจำเป็นในการแข่งขันกันเข้าสู่อำนาจบริหาร (หรือนัยหนึ่งมาเป็นรัฐบาล) ทำให้ต้องนำวิชามารมาใช้กัน
เมื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ ระดับผู้ใหญ่ทำเช่นนั้น เพื่อสนองนักธุรกิจการเมือง เจ้าหน้าที่ของรัฐระดับกลางก็เอาบ้าง ระดับล่างก็เอาบ้าง
คอร์รัปชั่นจึงกระจายรากออกไปอย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน
เมื่อเอาจากพ่อค้า นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ (Entrepreneur) ไม่ได้ ก็หันมาเอาจากเงินช่วยเหลือผู้ยากไร้ เอามาจากเงินบำรุดวัด เอามาจากเงินปลูกป่า และอะไรต่ออะไรอีกมากมาย จนทำให้เกิดหัวข้อว่า “เจ้าหน้าที่ของรัฐ เราจะต้องเอาปี๊บคลุมหัวเดินกันหรือยัง”
โอกาสหน้าคงจะได้มาดูทางออกกันบ้าง เพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ และตัดต้นตอของคอร์รัปชั่น ที่สืบเนื่องมาจากคนคณะเดียว แต่กุมบังเหียนสองอำนาจ ไปพร้อมๆ กัน
โดย ศิริภูมิ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี