เป็นที่ชัดเจนแน่นอนแล้วว่า จะมีการปิดอ่าวมาหยา เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศ เป็นระยะเวลา 4 เดือน
นี่คือข่าวดีสำหรับความยั่งยืนของทรัพยากรและธุรกิจท่องเที่ยวของไทยโดยแท้
1. นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า กรมอุทยานแห่งชาติฯ จะดำเนินการประกาศปิดอ่าวมาหยา ในเขตอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ เพื่อฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งบนบกและใต้ทะเล ในช่วงฤดูมรสุม เป็นเวลา 4 เดือน
ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2561 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2561
เรื่องนี้ มาจากมติที่ประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านวิชาการจัดการอุทยานแห่งชาติทางทะเล ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2561 ระบุว่า ทรัพยากรแนวปะการังบริเวณอ่าวมาหยา ได้รับความเสียหายเป็นอย่างมากจากกิจกรรมการท่องเที่ยว ได้แก่ กิจกรรมการดำน้ำตื้น การทิ้งสมอเรือ การเข้า-ออกของเรือสปีดโบ๊ทและเรือหางยาวเพื่อรับส่งนักท่องเที่ยว ซึ่งในแต่ละวันมีจำนวนนักท่องเที่ยวเฉลี่ย 3,000-4,000 คน
สังเกตได้จากซากปะการังที่แตกหักบริเวณพื้น และแนวปะการังบริเวณใกล้ชายหาด ซึ่งมีเรือเข้าออกตลอดเวลา ไม่มีปะการังที่มีชีวิตเหลืออยู่
อธิบดียืนยันว่า ในช่วงการปิดอ่าวมาหยา 4 เดือนนั้น จะห้ามทำกิจกรรมการท่องเที่ยวบริเวณอ่าวมาหยาโดยเด็ดขาด แต่อนุญาตให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวนำเรือเข้ามาลอยลำนอกบริเวณแนวทุ่นไข่ปลาที่กั้นแนวเขตห้ามเข้าไว้ หลังจากมีการก่อสร้างสะพานเทียบเรือและทางเดินบริเวณอ่าวโล๊ะสะมะเรียบร้อยแล้ว จะดำเนินการปิดไม่ให้เรือวิ่งเข้าออกบริเวณอ่าวมาหยาอย่างถาวร โดยให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวชมอ่าวมาหยาผ่านทางอ่าวโล๊ะสะมะเท่านั้นพูดง่ายๆ ว่า ต่อไปจะปิดการเข้าออกทางเรือ ผ่านทางอ่าวมาหยาเด็ดขาด จะต้องไปเข้าประตูหลัง คือ ทางอ่าวโล๊ะสะมะ แล้วเดินเท้าระยะใกล้ๆ ผ่านไปสู่ชายหาดอ่าวมาหยา มองออกไปหน้าอ่าวมาหยา มุมมองเหมือนพระเอกหนังเรื่องเดอะบีชเมื่อหลายปีก่อนโน้นนั่นเอง
2. สถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก ล้วนต้องบริหารจัดการเพื่อความยั่งยืนทั้งสิ้น
ยกตัวอย่าง มาชู ปิกชู (Machu Picchu) ซากเมืองโบราณของอารยธรรมอินคา ในประเทศเปรู มีนักท่องเที่ยวไปเยือนล้านกว่าคนในแต่ละปี เกิดความเสียหาย สุ่มเสี่ยงที่จะทรุดโทรม ทางการเปรูจัดระบบระเบียบ
นั่นขนาดตั้งอยู่บนภูเขาสูง เข้าถึงไม่ใช่ง่าย
ปัจจุบัน เขายังต้องมีกฎจำกัดนักท่องเที่ยวในแต่ละวัน และมีการเก็บค่าธรรมเนียมเข้าเยี่ยมชม
แบ่งให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปได้วันละ 2 รอบ คือ รอบเช้า เวลา 06.00-12.00 น. และรอบบ่าย เวลา 12.00-17.30 น. แถมจำกัดจำนวนต่อรอบด้วย
3.อ่าวมาหยา และสถานที่ท่องเที่ยว โดยเฉพาะสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติบ้านเรา ก็ควรจะตระหนักถึงขีดจำกัดการรองรับนักท่องเที่ยวของแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ แล้ววางระบบบริหารจัดการกันได้แล้ว
มิฉะนั้น จะต้องมาเสียใจภายหลังเมื่อเกิดความเสื่อมโทรมจนยากจะฟื้นฟูกลับมาดังเดิม
การปิดชั่วคราว เป็นเรื่องจำเป็น และการจัดระเบียบระยะยาวก็จำเป็นไม่แพ้กัน
โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวทรัพยากรทางทะเล ซึ่งเป็นเสมือนขุมทรัพย์การท่องเที่ยวให้กับประเทศไทยมายาวนาน แต่ปัจจุบันกำลังเข้าสู่ภาวะที่จะต้องฟื้นฟูกันครั้งใหญ่
ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เคยเล่าถึงความพินาศของแนวปะการัง โดยเฉพาะตามสถานที่ท่องเที่ยวทั้งหลาย ระบุถึงข้อมูลอย่างเป็นทางการที่รายงานต่อคณะกรรมการทะเลแห่งชาติว่า แนวปะการัประเทศไทยสร้างมูลค่าด้านการท่องเที่ยวมากกว่าปีละ 83,000 ล้านบาท
ในขณะที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง มีงบประมาณในการสำรวจติดตามสภาพทรัพยากรแนวปะการัง ปีละไม่ถึง 10 ล้านบาท
สภาพแนวปะการัง 148,750 ไร่ มีความเสียหายถึงร้อยละ 77 ของพื้นที่
ที่ผ่านมา หลายยุครัฐบาล เคยเสนอแผนอนุรักษ์และฟื้นฟูปะการังระดับพื้นที่ ระดับภูมิภาค และระดับชาติ ไปแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง สุดท้าย แผนเหล่านั้นก็ขึ้นหิ้งเกือบทั้งหมด
ล่าสุด เมื่อยุค คสช. มีแผนปฏิรูป มีกฎหมายเฉพาะแยกออกมา มีดัชนีชี้วัด กำหนดไว้ชัดเจน ซึ่งหากหน่วยงานไม่สามารถทำได้ ต้องมีการดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมายปฏิรูปประเทศ/ยุทธศาสตร์ชาติ
แผนปฏิรูปที่ประกาศออกมาตามกฎหมายแล้ว โดยมีกรอบระยะเวลา 5 ปี บางส่วนระบุไว้ว่า
พื้นที่ความเสียหายของแนวปะการัง จะต้องลดลงจนเหลือน้อยกว่าร้อยละ 50
เรือตรวจการณ์ของภาครัฐ/เรือท่องเที่ยวทั้งหมด มีระบบติดตามควบคุม
จัดทำเขตสงวน 17 แห่ง เขตท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 50 แห่ง
จัดทำพื้นที่ตัวอย่างเพื่อการท่องเที่ยวทางทะเล “พีพี/อ่าวพังงาโมเดล” รวมอ่าวพังงาจนถึงเกาะพีพี บางส่วนของจังหวัดภูเก็ตและกระบี่
จัดทำสถานีชี้วัด 400 แห่ง ทั้งในอุทยาน/นอกอุทยาน
จัดทำแผนที่ One Reef Map ทำแผนปะการังแห่งชาติ ฯลฯ
ทั้งหมดอยู่ในแผนการปฏิรูป ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเรียบร้อยแล้ว
4. กลับมาที่กรณีอ่าวมาหยา จะเห็นว่ามีงานที่เจ้าหน้าที่จะต้องทำอีกมาก โดยระหว่างปิดอ่าว 4 เดือน ก็จะดำเนินการฟื้นฟูทรัพยากรบนบกด้วย
โดยจะดำเนินการแก้ไขปัญหาการพังทลายของเนินทรายหน้าชายหาด ทำการปลูกพันธุ์ไม้ป่าชายหาด โดยคัดเลือกชนิดพันธุ์ที่มีอยู่ในพื้นที่ เช่น รักทะเล เตยทะเล สวาด คันทรง เป็นต้น เพื่อช่วยยึดหน้าดิน ป้องกันการพังทลายของเนินทรายหน้าชายหาดมีการติดตามการเปลี่ยนแปลงของสังคมพืชบริเวณดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง จัดทำเส้นทางเดินยกระดับ (Boardwalk) ตั้งแต่แนวสังคมพืชชายหาด ไปยังด้านในอ่าว และบริเวณห้องน้ำ เพื่อลดการเหยียบย่ำของนักท่องเที่ยว
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องปะการังในทะเล
ดังนั้น ขอสนับสนุนรัฐบาล คสช. ให้เดินหน้าปฏิรูปการจัดการทรัพยากรท่องเที่ยวทั้งระบบ เพื่อความยั่งยืนในระยะยาวของหม้อข้าวที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจไทยไว้นั่นเอง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี