การแก้ไขปัญหาชนชั้นทางสังคมในประเทศไทยยังเป็นโจทย์ที่ยากสำหรับรัฐบาลมาหลายยุคนับตั้งแต่สมัยจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรีเรื่อยมาจนถึงยุคฟ้าสีทองผ่องอำไพประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดินที่เกิดขึ้นมาได้เพราะความเกื้อหนุนของนายทหารปืนใหญ่นอกกองทัพคนหนึ่งที่มีเรื่องขัดแย้งกับคณะรัฐมนตรีเขาผู้นั้นมีฐานะดีและนักธุรกิจหลายคนได้ให้เงินทุนแก่ขบวนการนิสิตนักศึกษาประชาชนทำให้เกิดตุลามหาปีติในที่สุด
หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรีอีกหลายๆ ท่านได้พยายามแก้ไขความเหลื่อมล้ำทางสังคมไทยในเรื่องความร่ำรวยและความยากจนมาทุกสมัยไม่ว่าจะเป็นพลตรีหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช, พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์, พลเอกเปรมติณสูลานนท์, พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ, นายชวน หลีกภัย,นายบรรหาร ศิลปอาชา, นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, นายทักษิณกับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
การแก้ไขปัญหารวยกระจุกจนกระจายที่พูดกันมานานนั้นเรื่องหนึ่งก็คือการแก้ไขหรือว่าการปฏิรูประบบภาษีอากรของประเทศไทยใหม่หมดทั้งระบบไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพสามิต, กรมสรรพากรและกรมศุลกากรเป็นการรื้อทั้งหมดและยกร่างระบบประมวลรัษฎากรใหม่กันแบบปรับพัฒนาศึกษาระบบของนานาประเทศว่าเขาทำกันในรูปแบบใดรวมไปถึงการพัฒนาระบบการหารายได้เข้ารัฐของกระทรวงการคลังด้วย
โดยแหล่งหารายได้ของภาครัฐบาลไทยนั้นต้องเน้นไปตั้งแต่โครงสร้างรายรับของประชาชนทุกกลุ่มสาขาอาชีพมองภาพรวมฐานเงินเดือนฐานรายได้ของประชาชนทั้ง 67 ล้านคนใช้หลักวิชาเศรษฐศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นหลักเศรษฐศาสตร์, เศรษฐศาสตร์มหภาค, เศรษฐศาสตร์จุลภาค, เศรษฐมิติเมื่อรู้ว่าคนไทยทั้งหมดมีรายได้จากแหล่งใดมีคนรวยกี่คน คนชั้นกลางกี่คน และคนรากหญ้ากี่คน ทำอย่างเป็นระบบซึ่งข้อมูลนี้กระทรวงการคลังยุคใหม่นี้น่าจะมีพื้นฐาน ข้อมูลหมดแล้ว
หลังจากนั้นก็ต้องปรึกษากับกลุ่มเศรษฐกิจต่างๆ ทั้งสภาหอการค้าไทย, สมาคมธนาคารไทย, สภาหอการค้าต่างประเทศ, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, สภาเกษตรแห่งชาติ, สภาแรงงานแห่งประเทศไทย, สมาคมชาวจีนในไทยฯลฯอาจจะเชิญผู้แทนแต่ละสาขาที่ว่ามารับฟังปัญหาเรื่องการจัดเก็บภาษีทั้งระบบโดยมีเป้าหมายให้ผู้เสียของไทยทุกสาขาได้รับความเป็นธรรมโดยทั่วหน้า
คนไทยทุกสาขาอาชีพไม่ว่าจะเป็นใครต้องถูกจัดเข้ามาในฐานของผู้ต้องมีภาระเสียภาษีเงินได้ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นบุคคลในอาชีพอะไรไม่มีการยกเว้นทั้งมหาเศรษฐี, นักธุรกิจ, ทนายความ, สถาปนิก, วิศวกร, ดารานักแสดง, นักกีฬาอาชีพ, ชาวไร่, ชาวนา, ชาวสวน,ชาวประมง, นักบวช, พระภิกษุสงฆ์หากมีเงินได้เกินอัตราก็ต้องนำเอามาคิดเป็นฐานภาษีทั้งหมดการทำประมวลรัษฎากรใหม่ให้ศึกษารูปแบบหลายๆ ประเทศมารวมกันสร้างเป็นของไทยเอง
ทางด้านภาษีสรรพสามิตทุกสาขาก็ต้องนำมาทบทวนใหม่อย่าไปเชื่อเอ็นจีโออะไรมากนักต้องมองโลกแห่งความเป็นจริงอย่ากำหนดอัตราสูงลิ่วจนระบบอุตสาหกรรมต่างๆ พังพินาศเหมือนระบบอุตสาหกรรมยาสูบของไทยที่ราคาจำหน่ายแพงลิ่วจนเกิดปัญหาบุหรี่หนีภาษีทะลักเข้ามาเหมือนการตั้งราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซหุงต้มที่ราคาสูงกว่าเพื่อนบ้านมากทำให้เกิดตลาดมืดมีการลักลอบนำของราคาถูกเข้ามาสร้างภาระให้แก่การปราบปรามของเจ้าหน้าที่
ส่วนภาษีศุลกากรก็ต้องมองไปที่เพื่อนบ้านใกล้เคียงด้วยอย่าตั้งราคาสูงมากอย่าไปให้เกิดช่องโหว่ช่องว่างสมมุติว่าเพื่อนบ้านเก็บร้อยละ 10 เราก็ควรเก็บให้เหมือนเขาหรือสูงกว่าก็อย่ามากเช่นร้อยละ 12 ก็พอแบบนี้ปัญหาสินค้าหนีภาษีก็จะไม่มีการตั้งอัตราภาษีควรเน้นที่การจัดเก็บได้สะดวกไม่มีความยุ่งยากอย่าตั้งอัตราซับซ้อนทำให้เจ้าหน้าที่สามารถนำไปทุจริตหากินกับสินค้าหนีภาษีได้ง่ายให้ดูประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นตัวอย่าง
การหารายได้จากที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ก็ต้องอย่าตั้งอัตราสูงมากนักให้เอกชนที่มาเช่าได้กำไรบ้างไม่ใช่เน้นจัดเก็บรายได้สูงๆ แต่ไม่มีคนมาเช่าที่จะไม่ดีกว่าหรืออัตราเดิมที่ต่ำมากก็เพิ่มขึ้นส่วนอัตราไหนที่ดูแล้วสูงมากๆ ก็ต้องลดอัตราลงมาเพื่อประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญในขณะที่รายได้จากรัฐวิสาหกิจก็ต้องพิจารณาความเหมาะควรไม่มากหรือว่าน้อยรัฐวิสาหกิจที่ขาดทุนก็ต้องจำหน่ายออกไปหรือว่ายุบทิ้งไม่ให้เป็นภาระแก่ประเทศ
มุมมองของกระทรวงการคลังโดยเฉพาะกลุ่มข้าราชการประจำนั้นต้องมีหน้าที่รายงานสภาพความเป็นจริงให้ฝ่ายการเมืองทราบและเสนอแนะด้วยหลักวิชาที่ถูกต้องไปให้รัฐบาลตัดสินใจอย่านอกลู่นอกทางช่วยนักการเมืองโคตรโกงอย่างที่แล้วๆ มา
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี