ขบวนการลักลอบนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์-ขยะพลาสติกเป็นพิษกิจการกำลังรุ่งเรืองในประเทศไทย
เป็นการนำเข้ามาจากต่างประเทศ แล้วส่งไปยังโรงงานกำจัดขยะที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีใบอนุญาต
ก่อให้เกิดมลภาวะ ส่งกลิ่นเหม็น เกิดมลพิษ สร้างผลร้ายต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของคนไทย
ล่าสุด เห็นท่าทีเอาจริงเอาจังกับการกวาดล้าง
1. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ตอบคำถามนักข่าวว่า ปัญหาโรงงานคัดแยกขยะอิเล็กทรอนิกส์ผิดกฎหมายในขณะนี้ อยู่ระหว่างการจัดการเด็ดขาด โดยพบว่า มี 2 โรงงาน ที่ตั้งถูกกฎหมาย มี 7 โรงงาน ตั้งไม่ถูกกฎหมาย ตั้งมาได้อย่างไร เกิดตั้งแต่เมื่อไหร่ ต้องสอบสวนทั้งหมด
“..มีทั้งทำผิดทำถูก นำขยะเข้ามาถูกต้อง รีไซเคิลถูกต้องทุกประการ ส่วนที่นำเข้ามาไม่ถูกต้องไปสอบสวนไม่ถูก ผิดตรงไหนการเอาเข้ามาแล้วกระจายลงไป ไม่ได้รีไซเคิลเองทั้งหมด นำไปให้บริษัทเถื่อน ขีดความสามารถไม่ถึงก็เอาไปทำลายทิ้ง ฝัง ทิ้งทะเล ซึ่งเกิดขึ้นมายาวนานแล้ว ไม่ใช่รัฐบาลนี้มาวัวหายแล้วล้อมคอก ทั้งหมดเป็นเรื่องที่มีการสืบสวนดำเนินการมาโดยตลอด..”
2. ตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม ทราบว่า โรงงานที่เกี่ยวข้องกับขบวนการพวกนี้ มีอย่างน้อย 2 ส่วน
ส่วนที่หนึ่ง โรงงานที่มีใบอนุญาตถูกต้อง นำเข้ามา แต่ไม่ได้กำจัดเอง โดยถ่ายเทขยะอิเล็กทรอนิกส์-ขยะพลาสติกพิษให้กับโรงงานอื่นในเครือข่ายที่ไม่มีใบอนุญาตดำเนินการแทน
ส่วนที่สอง โรงงานจำพวกที่ลักลอบนำเข้าโดยไม่ได้รับอนุญาตแต่ใช้วิธีสำแดงเท็จ
เพราะฉะนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ได้แก่ กรมโรงงาน กับกรมศุลกากร
กรมโรงงาน ก็คือคนออกใบอนุญาตให้โรงงานพวกนี้ได้ติดตามกำกับตรวจสอบหรือไม่ อย่างไร
กรมศุลกากร ก็คือคนที่ต้องตรวจสอบเวลามีของนำเข้ามาได้ตรวจสอบรัดกุมแค่ไหน อย่างไร
ล่าสุด กรมศุลฯ ได้ปรับมาตรการแล้ว ระบุว่า จะต้องตรวจเช็ค100% คือ เปิดตรวจหมดทุกตู้คอนเทนเนอร์
3. น่าสงสัยว่า เจ้าหน้าที่รัฐได้เข้าไปมีเอี่ยวผลประโยชน์ในขบวนการขยะพิษนี้ หรือไม่?
สำนักข่าวอิศรา ได้ติดตามข้อมูล และตั้งข้อสังเกตน่าสนใจมาก
บางประเด็นที่ควรจะต้องตรวจสอบเชิงลึก และล้างบางกันจริงๆ จังๆ เช่น
3.1 “เบื้องต้นพบว่ามีเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกรมโรงงานอุตสาหกรรม อย่างน้อย 2 ส่วน ได้แก่
เจ้าหน้าที่ในสำนักเศรษฐกิจอุตสาหกรรมระหว่างประเทศ ที่มีหน้าที่ออกใบอนุญาตนำเข้า
และเจ้าหน้าที่ในกลุ่มจัดการกากอุตสาหกรรมระหว่างประเทศ ที่มีหน้าที่ตรวจสอบโรงงานที่ขอใบอนุญาต
อาจเข้าไปเกี่ยวข้องในขบวนการนี้
ส่วนเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรอยู่ระหว่างการตรวจสอบ”
3.2 สำนักข่าวอิศราแฉว่า มีข้อมูลทางลับว่า
“...เอกชนเหล่านี้จะต้องจ่ายเงิน “ใต้โต๊ะ” ให้กับเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อดำเนินการ
อย่างน้อย ตู้คอนเทนเนอร์ละหลักแสนบาท
ข้อมูลจากกรมศุลกากรระบุว่า ตู้คอนเทนเนอร์ 1 ตู้ บรรทุกน้ำหนักสินค้าได้ประมาณ 2 ตัน
และสินค้าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ นำเข้า 70 ตู้/วัน
ส่วนชิ้นส่วนพลาสติกนำเข้า 17 ตู้/วัน
หากคิดเป็นเม็ดเงินแล้ว เจ้าหน้าที่รัฐอาจได้รับผลประโยชน์ตรงนี้ประมาณ 7-8 ล้านบาท/วัน
และที่ผ่านมา ขบวนการนี้ดำเนินการมาประมาณ 1-2 ปีแล้ว คำนวณอย่างไม่เป็นทางการ จำนวนยอดเงินอาจตกอยู่หลายพันล้านบาท ?”
3.3 ยอดนำเข้าที่ก้าวกระโดดจากปี 2559 ที่นำเข้าขยะเหล่านี้ประมาณ 400-700 ตัน
แต่ปี 2560-2561 กลับนำเข้าหลักแสนตัน
คำถามสำคัญ คือ บุคคลเบื้องหลังที่เป็นผู้ดีลกลุ่มเอกชนจีนให้เข้ามาดำเนินการทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์-พลาสติกในไทย คือใคร
เพราะเป็นไปไม่ได้ที่อยู่ๆ ประเทศไทยจะกลายเป็นเป้าหมายหลักกลายเป็นศูนย์กลางที่ทิ้งขยะโลกในทันที ภายหลังประเทศจีนที่เคยรุ่งเรืองกับธุรกิจนี้ ออกกฎหมายห้ามนำเข้าเด็ดขาด
ในส่วนนี้มีเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงกว่ากรมโรงงานฯ หรือนักการเมืองระดับชาติรายใดเข้าไปเกี่ยวข้องในขบวนการนี้หรือไม่?
4. ประเด็นข้างต้น คือ เงื่อนปมสำคัญว่า ทำไมขบวนการนำเข้าขยะพิษ ถึงได้เห็นประเทศไทยเป็นเสมือน “สวรรค์ของขยะพิษ”
พวกขนเข้ามาวันละหลายสิบตู้คอนเทนเนอร์
ใต้เงาของขบวนการดังกล่าว มันมีการทุจริตคอร์รัปชั่นของใคร หรือไม่ ?
รัฐบาล คสช. ควรสะสางให้เด็ดขาด เคลียร์ให้ชัดเจน
มิฉะนั้น อาจสมใจบางฝ่ายที่จ้องจะตีกระทบ หวังฆ่าตัดตอนทางการเมืองไปถึง “เด็กปั้น” ของใครบางคน
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี