ชาวพาราพากันไชโยโห่หิ้ว ในทันทีที่รัฐบาลประกาศหลักการปฏิบัติในการติดต่อกับทางราชการยุค 4.0 โดยให้ยกเลิกการ
เรียกเอาสำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้าน เพื่อลดภาระและความยุ่งยากให้กับประชาชน เนื่องจากทางราชการมีฐานข้อมูลเกี่ยวกับบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ของทางราชการอยู่แล้ว
และความจริงควรจะทำเช่นนี้มานานหนักหนาแล้ว เพราะข้อมูลในบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านนั่น ก็เป็นข้อมูลเดียวกันดูอย่างใดอย่างหนึ่งก็เพียงพอต่อการที่จะรู้ข้อมูลของบุคคลไม่จำเป็นจะต้องเรียกเอาทั้งสองอย่าง
ยิ่งบางทีบางแห่ง ที่ทำมาหากินกับความเดือดร้อนของราษฎรก็จะแกล้งเรียกเอาทีละอย่าง ทำให้เกิดความยุ่งยากและรำคาญแก่ราษฎร จนต้องแก้ความรำคาญจนต้องจ่ายค่าเก๋าเจี๊ยะ ดังที่รู้เห็นกันอยู่ทั่วไป
ครั้นทางราชการได้จัดสรรงบประมาณจำนวนมากต่อเนื่องหลายปี ก่อตั้งและพัฒนาระบบสารสนเทศจนสามารถสร้างฐานข้อมูลบุคคลที่สามารถตรวจดูได้ ทั้งในเรื่องบัตรประชาชน และทะเบียนบ้านโดยทั่วไปทั้งประเทศ จนเกิดความมั่นใจแล้ว จึงประกาศเป็นหลักปฏิบัติในการติดต่อราชการ
ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเรียกดูฐานข้อมูลจากระบบสารสนเทศทางราชการแทน และยกเลิกการเรียกเอาสำเนาบัตรประชาชน และทะเบียนบ้าน ซึ่งคนทั้งหลายย่อมเชื่อว่า เป็นความสำเร็จ เป็นความก้าวหน้าของประเทศ และลดภาระของทั้งราชการและราษฎรไปพร้อมกัน
แต่ที่ไหนได้ ความสับสนวุ่นวายและความฉิบหายกันหนักกว่าเก่า จนเกิดความเดือดร้อนโดยทั่วไปหนักกว่าเก่าเสียอีก
เพราะเมื่อไปติดต่อทางราชการ กลับถูกเรียกเอาทั้งต้นฉบับ ทั้งต้นฉบับบัตรประชาชน และต้นฉบับทะเบียนบ้าน โดยมีข้ออ้างว่าที่รัฐบาลแถลงนั่น เป็นการยกเลิกสำเนา เมื่อยกเลิกสำเนาไปแล้ว จึงต้องตรวจสอบจากต้นฉบับ
ทำเป็นไม่รู้ ไม่ชี้ว่าจะต้องตรวจสอบจากฐานข้อมูลในระบบสารสนเทศทางราชการแทน จึงเกิดความเดือดร้อนอย่างกว้างขวาง เช่น
ผู้บริหารกิจการที่ต้องรับจำนอง หรือซื้อขายที่ดิน ที่ปกติเคยใช้สำเนา และนำไปใช้จดทะเบียนพร้อมๆ กัน หลายๆ ที่ หลายๆ รายได้ กลับทำไม่ได้เพราะต้นฉบับนั้นมีอยู่ใบเดียว การไปจดทะเบียนต่างๆ ก็ทำได้วันละทีเดียว ครั้งเดียว
หรือกรณีมอบอำนาจ ไปทำธุรกรรมในต่างจังหวัด ก็ต้องมอบต้นฉบับบัตรประชาชนไปด้วย ครั้นจะไปถอนเงินจากธนาคารก็ถูกเรียกดูบัตรประชาชน ทำให้ถอนเงินไม่ได้ ครั้งจะไปขึ้นเครื่องบิน เขาก็ตรวจดูบัตรประชาชน เมื่อไม่มี
บัตรประชาชนก็ขึ้นเครื่องบินไม่ได้
ดังนั้น ในหลายที่หลายแห่ง ที่ไม่อาจรั้งรอเวลาได้ ก็จำใจจ่ายค่าเก๋าเจี๊ยะ โดยเอาสำเนาไปให้ตรวจดูแทน จึงเกิดความเดือดร้อนเกิดขึ้นหนักกว่าเก่าอีก
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ต้องย้ำยืนยัน ให้รู้กันโดยทั่วไปว่า จะเอาอย่างไรกันในเรื่องนี้
นั้นคือ เมื่อยกเลิกการเรียกเอาสำเนาบัตรประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านแล้ว จะต้องส่งต้นฉบับ สำเนาและทะเบียนบ้าน แทนที่จะต้องส่งสำเนาแล้วหรือไม่ หรือว่าให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ที่จะต้องตรวจข้อมูล จากระบบสารสนเทศของราชการเองตามที่แถลงไว้เดิม
นี่คือตัวอย่างที่สุนทรีย์มากตัวอย่างหนึ่ง ซึ่งกำลังเกิดความเดือดร้อนขึ้น จากเรื่องกระจุ๋มกระจิ๋ม ซึ่งไม่ควรจะเป็นเรื่อง หากควรจะเป็นสัญญาณหมายของความก้าวหน้าในการบริหารของรัฐบาล
หรือว่าลัทธิเก๋าเจี๊ยะ มันฝังในสายเลือดจนไม่อาจแก้ไขได้แล้วจริงๆ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี