ที่ประชุม ครม.เมื่อวันที่ 7 ส.ค.2561 มีมติแต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหารระดับสูงกระทรวงการคลังหลายตำแหน่ง
ที่ถูกจับตามองมากที่สุด คือ นายกุลิศ สมบัติศิริย้ายจากอธิบดีกรมศุลกากร ไปเป็นปลัดกระทรวงพลังงาน
เหตุผลที่แน่ชัด ยังไม่มีการยืนยัน
แต่ในช่วงที่ผ่านมา นายกุลิศ มีบทบาทสำคัญในหลายๆ เรื่อง
ปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติเอาไว้ไม่น้อย
การเก็บภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มจากเชฟรอน กรณีส่งน้ำมันไปใช้ที่แท่นกลางอ่าวไทย ก็จัดเก็บได้ในยุคที่นายกุลิศ เป็นอธิบดีกรมศุลกากร
หลังจากไม่ได้มีการจัดเก็บมาเป็นเวลาหลายปี ตั้งแต่ปี 2555 คิดเป็นมูลค่าหลายพันล้านบาท
เรียกว่า รั่วไหลมาตั้งแต่ยุครัฐบาลที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตย แต่มาถูกเก็บได้ในยุค คสช.
1.เมื่อเดือนมีนาคม 2560 บริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัท ได้ทำการจ่ายภาษีจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันดีเซล เพื่อใช้ในบริเวณอ่าวไทย ระหว่างปี 2555-2559 แล้ว
เป็นจำนวนเงินกว่า 2,100 ล้านบาท!
2.ที่เกี่ยวกับกรมศุลกากร เพราะเมื่อปี 2554 บริษัทเชฟรอนฯ ทำหนังสือมาสอบถามกรมศุลกากรขณะนั้น
ทำนองว่ากรณีส่งน้ำมันเชื้อเพลิงจากโรงกลั่น บนฝั่งจังหวัดระยอง นำไปใช้ที่แท่นขุดเจาะน้ำมันในอ่าวไทย ถือเป็นการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรหรือไม่?
ความนัยคือ ถ้าถือเป็นการส่งออก ทางบริษัทจะได้ขอยกเว้นภาษีกับกรมสรรพสามิต
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2554 เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมศุลกากร ทำหนังสือตอบบริษัทว่า ถือเป็นการส่งออกเป็นช่องทางให้บริษัททำเรื่องขอยกเว้นภาษีกับกรมสรรพสามิต
จนกระทั่ง นายกุลิศ สมบัติศิริ เข้ามาเป็นอธิบดีกรมศุลกากร ได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีบริษัทเชฟรอน อธิบดีกุลิศ จึงทำหนังสือสอบถามสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กรณีบริษัท เชฟรอนฯ ซื้อน้ำมันดีเซลในประเทศส่งไปขายที่แท่นขุดเจาะน้ำมัน ถือเป็นการซื้อ-ขายในประเทศหรือส่งออก เพื่อให้แนวปฏิบัติในการผ่านพิธีการศุลกากรมีความชัดเจนถูกต้อง และเป็นมาตรฐานเดียวกัน และคำตอบที่ได้คือไม่ใช่การส่งออก
ในปี 2559 กรมศุลกากรจัดประชุมสามฝ่าย ตามคำแนะนำของคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ข้อยุติว่าเป็นการขายภายในประเทศ โดยในเดือนธันวาคม 2559 นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการ
คณะกรรมการกฤษฎีกา ทำหนังสือแจ้งผลการวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ต่อกรมศุลกากรว่า “กรณีการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงจากชายฝั่งไทยไปยังแท่นขุดเจาะน้ำมัน ถือว่าเป็นการขนของไปใช้ในการประกอบกิจการปิโตรเลียมในราชอาณาจักร ตาม พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ต้องจัดเก็บภาษีเช่นเดียวกับการประกอบกิจการภายในประเทศ”
ช่วงนั้นเอง ดูเหมือนจะคัดง้างกับอดีตปลัดกระทรวงการคลัง อดีตอธิบดีกรมสรรพสามิต อดีตอธิบดีศุลกากร อยู่พักหนึ่ง
สุดท้าย รัฐบาล คสช.ส่งสัญญาณไฟเขียวเดินหน้าลุย
ในที่สุด เชฟรอนก็ต้องจ่าย
3.การวางบรรทัดฐานข้างต้นนั้น มีผลดีมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อยึดถือว่า การส่งน้ำมันออกไปใช้บนแท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลของ บริษัทเอกชน มีภาระต้องเสียภาษีสรรพสามิต ก็เป็นหน้าที่ของกรมศุลกากรที่จะเป็นผู้เก็บภาษีให้กรมสรรพสามิต และเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มให้กรมสรรพากร
ทำให้ประเทศชาติได้รับเงินภาษี ตามที่ควรจะเป็นทุกๆ ปี จนถึงปัจจุบัน
ไม่ปล่อยให้รั่วไหลเหมือนในยุคก่อนๆ นี้
คงเหลือแต่เพียงว่า กรณีนี้ นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส อดีตผู้ว่าการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เคยทำหนังสือติดตามเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง โดยมีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สั่งการ กรมสรรพากรและกรมสรรพสามิต เรียกภาษีจากบริษัทเชฟรอนฯ และให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการตีความ ทั้งทางแพ่ง อาญา และวินัย
ยังไม่ปรากฏรายละเอียดว่า มีใครถูกดำเนินการทางวินัยและอาญาแค่ไหน อย่างไร
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี