ดังได้กล่าวมาในบทความของสัปดาห์ที่ผ่านมา คุณสมบัติของผู้ที่จะก้าวเข้าสู่อำนาจรัฐ (อำนาจตุลาการ อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจบริหาร) จะต้องประกอบด้วย
- การเป็นคนดี มีจริยธรรม (Ethics) มีคุณธรรม (Moral) มีความซื่อสัตย์สุจริต (Honesty) ใช้ชีวิตเรียบง่ายและประหยัด ไม่กอบโกยทรัพย์สินเงินทอง โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่เพื่อครอบครัว และพรรคพวก ดังเช่น พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา, คุณควง อภัยวงศ์, ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช และ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นต้น
- การมีจิตสาธารณะ (Public Mind) การมีจิตอาสา (Voluntary Mind) เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม และของประเทศชาติมากกว่าประโยชน์ส่วนตน ของพรรค หรือของญาติพี่น้อง
- การมีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์เพียงพอ ที่จะเข้าไปสร้างชาติให้เจริญ เข้าไปแข่งขันกับนานาชาติในเวทีโลกได้
ในเรื่องนี้ ความจริงคนไทยที่มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์เพียงพอ มีประวัติความเป็นผู้บริหารมืออาชีพ (Professionalism) ที่ประสบความสำเร็จอยู่มากมาย แต่ต่างคนก็ต่างปลีกตัวออกจากการก้าวเข้าสู่อำนาจรัฐโดยวิธีการน้ำเน่า โดยการซื้อเสียง โดยการคอร์รัปชั่นเอาไว้เลี้ยงลูกพรรค ใช้การเมืองเป็นธุรกิจหารายได้ อันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจของสังคมคนดี
ทั้งนี้ เพราะรัฐธรรมนูญของเรา เปิดโอกาสให้มีการดำเนินการเช่นนั้น เพื่อเป็นทางก้าวเข้าสู่อำนาจรัฐ ทั้งอำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจบริหาร ประเทศไทยจึงได้มีนักธุรกิจการเมืองจำนวนมากเข้ามาครองอำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจบริหาร ของรัฐ ความต่อเนื่องหรือเสถียรภาพของรัฐบาลจึงไม่มี จาก พ.ศ. 2518 จนถึง พ.ศ.2557 เป็นจำนวนประมาณ 40 ปี จึงมีรัฐบาลถึง 25 คณะ มีการปฏิวัติรัฐประหารเพื่อกวาดล้างธุรกิจการเมือง และการคอร์รัปชั่นถึง 13 ครั้ง ในระยะเดียวกัน สิงคโปร์มีรัฐบาลเพียง 3 คณะ โดยเฉพาะลี กวน ยู อยู่ในตำแหน่งนานถึง 31 ปี มาเลเซียมีรัฐบาลเพียง 5 คณะ โดยเฉพาะโมฮัมหมัด มหาเธร์ อยู่ในตำแหน่งนานถึง 22 ปี ประเทศเหล่านี้ จึงเจริญก้าวหน้าเลยประเทศไทยไปหลายขุม ไม่ต้องนับไปถึงเสถียรภาพของรัฐบาลจีน และประเทศเกิดใหม่ในยุโรปอีกนับสิบประเทศ ที่เจริญแบบก้าวกระโดด (Frog Leap) ก้าวหน้าเกินไทยไปไกลแล้ว ด้วยความมีเสถียรภาพของฝ่ายบริหาร
ลองคิดดูว่า ถ้านักการเมืองในระบอบ Parliamentarian Democracy ของเรา เป็นนายกรัฐมนตรีได้ยาวนาน 31 ปี และ 22 ปี เหมือนลี กวน ยู และมหาเธร์ จะร่ำรวยขนาดไหน คงมีเงินซื้อเสียง และเป็น God Father ได้ทีละ 10 จังหวัด มิใช่จังหวัดเดียวแน่ๆ เลย
และการรัฐประหารเมื่อปี พ.ศ. 2549 และปี พ.ศ. 2557 ก็ยังร่างรัฐธรรมนูญออกมาแบบเดิม คือ เป็นแบบที่ส่งเสริมให้มีการคอร์รัปชั่น การดูดเสียง การซื้อเสียง ธุรกิจการเมือง เพื่อก้าวเข้าไปสู่อำนาจนิติบัญญัติ และจากอำนาจนิติบัญญัติก็ใช้วิธีการเดียวกันก้าวเข้าสู่อำนาจบริหาร มาเป็นรัฐบาลของประเทศไทยต่อไปอีก จึงย่อมจะเกิดความไร้เสถียรภาพ รัฐบาลล้มลุกคลุกคลาน มีพรรคการเมืองมากมาย รวมตัวกันเข้ามาหาประโยชน์จากการบริหารประเทศชาติ เหมือนในอดีตที่ผ่านมา 86 ปีของประเทศไทย
จึงเป็นการรัฐประหารที่ล้มเหลว อย่างน่าเสียดาย มีการสร้างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญกันมากมายหลายฉบับ พยายามสร้างรั้วกันการคอร์รัปชั่น และการหาประโยชน์ โดยใช้ตำแหน่งหน้าที่ เหมือนกับรักษาโรคในร่างกายหลายสิบจุด แต่ยังไม่ตรงจุดสำคัญ คือ ยังไม่แยกอำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจบริหาร ออกจากกันโดยเด็ดขาด
- คุณสมบัติ อีกประการหนึ่ง ของนักบริหารประเทศ โดยเฉพาะหัวหน้าฝ่ายบริหาร (นายกรัฐมนตรี) ก็ได้แก่ การมีลักษณะผู้นำที่ดี (Good Leadership)
ที่ต้องเน้นว่า ต้องมีคุณสมบัติการเป็นผู้นำที่ดี ก็เพื่อแยกแยะระหว่างผู้นำที่ไม่ดี เช่น ฮิตเลอร์ มุสโสลินี ซัดดาม อุสเซน กับผู้นำที่ดีอื่นๆ อาทิ ลี กวน ยู โมฮัมหมัด มหาเธร์ พลเอกชาร์ลส์ เดอโกล หรือบารัค โอบามา เป็นต้น ท่านเหล่านี้ เป็นหัวหน้าอำนาจบริหาร กันคนละหลายๆ ปี แต่มิได้แสวงหาผลประโยชน์ นำความร่ำรวยมาสู่ตน และเครือญาติ นับว่าคุณสมบัติด้านจริยธรรม และคุณธรรม เป็นเลิศ
แต่ผู้นำที่ดีมิใช่จะมีแต่เพียงจริยธรรม และความซื่อสัตย์ แต่จะต้องมีความกล้าหาญ (Courage) ด้วย กล้าหาญที่จะผจญกับความไม่ถูกต้อง กล้าหาญที่จะแก้ปัญหา และอุปสรรคแห่งความเจริญก้าวหน้า กล้าหาญที่จะตัดนิ้วร้ายออกไปจากมือ เมื่อมีนิ้วเน่าเสีย หรือมีคนไม่ดีเข้ามาอยู่ในคณะรัฐบาลของตน ไม่ยอมปรองดองกับความผิด หรือความชั่วร้าย คุณสมบัติเหล่านี้ จะไม่มีอยู่ใน “นักธุรกิจการเมือง” แต่จะมีอยู่ในคนกล้าที่เป็นนักบริหารมืออาชีพ (Professional Executives) ไม่ว่าจะเป็นด้านธุรกิจ รัฐกิจ หรือประชากิจ ดังจะเห็นได้จากกิจการของเอกชนจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการค้า การลงทุน การอุตสาหกรรม รุดหน้าไปไม่น้อยหน้ากว่าประเทศอื่น แต่ประเทศไทยเองก็ยังไม่เจริญ เพราะผลของความสำเร็จในกิจการเหล่านี้ ก็ตกอยู่กับเจ้าของกิจการ ผู้บริหาร ผู้ถือหุ้น มิได้เข้ามาสู่การเงินการคลังของรัฐ อันจะนำมาสู่การกระจายความมั่งคั่งสู่ประชาชนคนไทย ที่ส่วนใหญ่ยังตกอยู่ในความยากจน และนักบริหารมืออาชีพเหล่านี้ ก็ยังไม่มีโอกาส เข้ามาบริหารประเทศ เนื่องด้วยไม่ต้องการมาเกลือกกลั้วกับความสกปรกโสโครกของระบบการเมืองที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบัน
สรุปแล้ว ความกล้าหาญ ที่จะต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง กล้าหาญที่จะสนับสนุนคนดีให้เจริญก้าวหน้า กล้าหาญที่จะจัดการกับคนไม่ดีให้พ้นจากอำนาจรัฐ กล้าหาญที่จะจัดการกับประชาชนที่ละเมิดกฎหมาย ขาดระเบียบวินัย หรือสหภาพแรงงานที่จะดูแลเพียงผลประโยชน์ขององค์กร (แต่ขัดกับผลประโยชน์ของชาติ) คือ คุณสมบัติอีกประการหนึ่งของผู้นำทางการเมืองที่ดี ที่จะนำประเทศไทย คนไทยไปสู่ความเป็นอารยะ และการมีชีวิต และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
เมื่อใดเราจะพบกับหัวหน้าฝ่ายบริหาร ที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ ถ้าพบแล้วจะได้ช่วยกันอุ้มชู และทะนุบำรุงรักษา ผู้มีความกล้าหาญเช่นนี้ กันต่อไป
ศิริภูมิ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี