เชื่อเหลือเกินว่าแทบทุกคนต่างเคยผ่านประสบการณ์ “การถูกรังแกในวัยเด็ก” กันมาบ้างไม่มากก็น้อยและในหลายรูปแบบ ผู้ที่ถูกรังแกมักจะเป็นคนที่มีลักษณะบางอย่างแตกต่างจากกลุ่มเด็กในสังคมเดียวกัน หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องเล็กๆ ธรรมดาเพราะโตขึ้นมาก็ปกติดีไม่เป็นอะไร แต่อีกหลายคนไม่เป็นเช่นนั้น “การถูกรังแกในวัยเด็กอาจนำไปสู่พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ในอนาคต” แม้จะผ่านพ้นช่วงเวลานั้นไปแล้วก็ตาม
เมื่อเร็วๆ นี้ “ที่นี่แนวหน้า” มีโอกาสไปฟังงานเสวนา “ครูรุ่นใหม่ไม่ BULLY ว่าด้วยการล้อเลียนเหยียดหยามความหลากหลายทางเพศ” จัดโดยมิวเซียมสยาม (สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ) ซึ่งนอกจากวิทยากรบนเวทีแล้วยังมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากผู้เข้าฟังภายในงาน อาทิ “คุณครูท่านหนึ่งที่เพศกำเนิดเป็นชายแต่มีจิตใจไปในทางเป็นหญิง” เล่าว่าในวัยเด็กตนเองต้อง “ต่อสู้เพื่อลบคำสบประมาท”จากผู้ใหญ่รอบๆ ตัว ที่ดูหมิ่นตลอดเวลาว่าคนเป็นเพศทางเลือกไม่มีทางประสบความสำเร็จในชีวิต
และแม้ว่าวันนี้คุณครูท่านนี้จะกลับไปยังโรงเรียนเก่าแล้วได้รับการต้อนรับด้วยเสียงชื่นชม ไม่มีใครมาดูถูกดูหมิ่นอีกต่อไป “แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะโชคดี” คุณครูท่านนี้เล่าต่อไปว่า “มีลูกศิษย์คนหนึ่งเป็นผู้ชายถูกเพื่อนๆ ล้อว่ามีพฤติกรรมส่อไปในแนวเพศทางเลือก และปลายทางของนักเรียนชายคนนี้ไปจบที่คุกตะรางเพราะไปมีเรื่องทะเลาะวิวาทตีรันฟันแทง” ซึ่งมูลเหตุจูงใจคือ “ต้องการแสดงออกว่าเป็นชายเต็มตัว” ไม่อยากถูกเพื่อนล้อ “จึงเลือกแสดงพฤติกรรมการใช้ความรุนแรง” เพราะเข้าใจว่าการใช้กำลังคือสัญลักษณ์ของความเป็นเพศชาย
เรื่องราว “บาดแผลในใจ” ลักษณะเดียวกันยังถูกบอกเล่าโดย ชนน์ชนก พลสิงห์ นักจัดการความรู้อาวุโส และภัณฑารักษ์นิทรรศการของมิวเซียมสยาม ซึ่งผลงานล่าสุดคือนิทรรศการ “ชาย หญิง สิ่งสมมุติ” โดยคุณชนน์ชนกเล่าว่า นิทรรศการชุดนี้เกิดขึ้นได้โดยการให้ผู้เคยผ่านประสบการณ์ที่เกี่ยวกับเพศทางเลือก ส่งสิ่งของที่เห็นแล้วนึกถึงช่วงเวลานั้นมาให้ทีมงานใช้จัดแสดง และ 1 ในนั้นก็มี “หน้าสมุดพกสมัยเรียนอยู่ชั้น ป.6” ถูกส่งเข้ามาด้วย ความน่าสนใจอยู่ที่ข้อความ “เรียบร้อยเหมือนผู้หญิง” ที่ครูประจำชั้นของเจ้าของสมุดพกเขียนบรรยายไว้
คุณชนน์ชนกกล่าวว่า “แม้ครูจะไม่ได้มีเจตนาไม่ดีกับเด็ก..แต่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อน”พร้อมกับเปิดประเด็นชวนคิดว่า “เพศชายจำเป็นเสมอไปหรือไม่ที่ต้องวางท่าแมนๆ? สามารถทำตัวนิ่งๆ นิ่มๆ ก็ได้หรือเปล่า?” ซึ่งเจ้าของหน้าสมุดพกดังกล่าวก็ได้บอกเล่ากับทีมจัดนิทรรศการว่า “หลังได้อ่านข้อความจากครูก็ต้องพยายามแสดงออกว่าตนเองเป็นชายเต็มตัวตลอดเวลา” เช่น ป่าวประกาศว่าชอบผู้หญิงคนนั้นคนนี้ เพื่อไม่ให้ถูกมองว่าไม่ใช่ชายแท้ ทั้งนี้ต้องย้ำว่า “ช่วงวัยประถม-มัธยม ครูจะมีอิทธิพลกับเด็กมาก” อาจจะยิ่งกว่าพ่อแม่เสียด้วยซ้ำไป
ภายในงานยังมีมุมมองจาก ผศ.ดร.วิมลทิพย์ มุสิกพันธ์ นักวิชาการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล มาอธิบายเรื่องของการรังแกกัน ที่ปัจจุบันนิยมเรียกทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า “บุลลี (Bully)” จากปัญหาที่รัฐบาลหลายประเทศปวดหัวกันมากคือ “การรังแกกันบนโลกออนไลน์ (Cyber Bully)” อาทิ การส่งข้อความดูหมิ่นเหยียดหยาม การประจาน การปลอมแปลงตัวตนผู้อื่น ฯลฯ ซึ่งผู้ถูกกระทำหลายคนรับไม่ไหวตัดสินใจฆ่าตัวตาย เหตุการณ์เหล่านี้เป็นข่าวในต่างประเทศมาระยะหนึ่งแล้ว ส่วนในไทยเองก็เริ่มที่จะมีบ้าง
อาจารย์วิมลทิพย์อธิบายว่า “การรังแกมีองค์ประกอบ 3 ประการ” ได้แก่ 1.มีเจตนาทำให้เจ็บปวด ต้องการให้อีกฝ่ายทุกข์ทรมาน 2.มีการกระทำซ้ำๆ เพราะถ้าทำแล้วเห็นอีกฝ่ายเจ็บก็หยุดและไม่ทำอีก อาจเป็นการไม่ตั้งใจก็ได้ และ 3.เปลี่ยนวิธีการไปเรื่อย เช่น ทำแบบนี้แล้วไม่ได้ผลก็หันไปใช้วิธีอื่นจนกว่าเป้าหมายจะรู้สึกเจ็บปวด ซึ่งการรังแกก็มีหลายระดับ ทั้งการกลั่นแกล้ง ล้อเลียน เหยียดหยาม โดย “การกลั่นแกล้งเป็นระดับที่ชัดเจนในเจตนาที่สุด” เพราะคนทำต้องรู้ตัวและต้องทำให้เป้าหมายรู้ตัวด้วย
“การกลั่นแกล้งตามเจตนาแล้วเกิดเป็นการกระทำ แต่ล้อเลียนมันกลางๆ มีเจตนาให้สนุกก็มี รู้ตัวไม่รู้ตัวก็มีปนๆ อยู่ สมมุติมีเจตนาให้สนุกแล้วรู้ว่าเขาไม่โอเค หลายกรณีก็เลิกกระทำเพราะมีเจตนาไม่ได้จะให้เขาเจ็บปวด แต่หากมีเจตนาทำให้เจ็บปวดก็ไม่เลิก เหยียดหยามก็เหมือนกัน หลายครั้งเราก็เจอว่าไม่ได้มีเจตนาแต่เหยียดไปโดยไม่รู้ตัว กลุ่มนี้ก็จะเบากว่าการกลั่นแกล้ง เมื่อเจตนาเบากว่าผลกระทบต่อใจคนก็น่าจะเบากว่า แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าวัสดุรองรับนั้นมีความทานทนแค่ไหน?” อาจารย์วิมลทิพย์ ระบุ
นักวิชาการท่านนี้ อธิบายต่อไปว่า “ทำไมใครคนหนึ่งถึงรังแกคนอื่น?” โดยแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆคือ “พวกอยากแสดงออกถึงการมีอำนาจ” ด้วยการข่มคนที่ด้อยกว่า กับ “พวกไม่อยากรู้สึกว่าอ่อนแอ” จึงมองหาและรังแกคนที่ดูอ่อนแอกว่าเพื่อปลอบใจว่าอย่างน้อยตนเองก็ไม่ใช่คนที่อ่อนแอที่สุด นอกจากนี้ยังแบ่งสาเหตุย่อยๆ ได้อีก 7 ประการ คือ 1.มองว่าเป้าหมายสมควรถูกแกล้ง 2.เบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำ3.คนรอบข้างกดดันให้ทำเพื่อจะได้รับการยอมรับ 4.เห็นว่าใครๆ ก็ทำกัน 5.อยากแสดงอำนาจ 6.มองว่าทำแล้วไม่มีใครจับได้
และ 7.รู้สึกว่าตนเองขาดอะไรบางอย่างในชีวิต ส่วน “ผลกระทบของผู้ถูกกระทำ” ไล่ตั้งแต่ 1.ดำดิ่งสู่ความทุกข์ 2.รู้สึกชีวิตไร้คุณค่า 3.ชีวิตน่าขบขัน4.ไม่พอใจในตนเอง 5.โกรธเกรี้ยว (และบางรายถึงขั้นลงมือแก้แค้น) 6.เห็นชีวิตตนเองย่ำแย่ 7.มีอาการซึมเศร้า 8.ไม่อยากมาเรียน 9.ล้มป่วย และ 10.ตัดสินใจฆ่าตัวตาย แต่ระดับความรุนแรงก็ขึ้นอยู่กับ “ภูมิคุ้มกันทางใจ” ของแต่ละคนด้วย
อาจารย์วิมลทิพย์ ยังเล่าถึงกรณีศึกษา ณ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีปัญหาการรังแกกันในโรงเรียนในระดับค่อนข้างรุนแรง และแม้จะทุ่มเททรัพยากรงบประมาณลงไปเท่าไรก็แก้ไม่ได้ กระทั่งพบว่านอกจากการสร้างความเข้าใจกับครูให้อบรมเด็กๆ ว่าไม่ควรรังแกกันแล้ว ที่สำคัญไม่แพ้กันคือ “ต้องทำให้เหยื่อไม่ยอมเป็นเหยื่อ” ซึ่งในญี่ปุ่นมีการศึกษาเรื่องนี้กันจริงจังมากถึงขนาดแบ่งความเปราะบางในใจคนได้ถึง 9 ระดับ โดยแต่ละระดับจะมีกระบวนการสร้างความเข้มแข็งที่แตกต่างกันและเป็นกระบวนการต่อเนื่องนานนับปี
“การตั้งรับของครูคือคอยบอกว่าเขาจะเป็นอย่างไรจะไปรังแกกันไม่ได้เพราะทุกคนเท่ากัน สำหรับเด็กให้บอกไปเลยว่าเธอ Fight Back (ตอบโต้) ได้นะ บางคนอาจจะถามว่าดู Hardcore (หนักหน่วง) ไปไหม? จริงๆ คือถ้าตอบโต้ไปความเป็นเหยื่อก็จะหาย คือคนที่ทำคนอื่นเขารู้สึกว่าคนอื่นด้อยกว่าหรืออ่อนแอกว่า ถ้าบอกไปว่าทำแบบนี้ฉันไม่ชอบ ไม่โอเค ถ้าทำอีกฉันบอกครูนะ ฉันฟ้องแม่นะ และฉันจะไม่จบแค่นี้นะ ถ้าครูทุกคนส่งสัญญาณแบบนี้มันก็จะเป็นองคาพยพเดียวกัน เราไม่มีสิทธิ์รังแกใครเพียงเพราะเขาไม่เหมือนเรา” อาจารย์วิมลทิพย์ ฝากทิ้งท้าย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี