หุ้นสื่อสารมวลชนมีความเกี่ยวข้องกับการเมืองไทยอย่างแยกกันไม่ออก เพราะการถือหุ้นสื่อสารมวลชนจะเป็นเหตุให้ขาดคุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 98 (3)บัญญัติไว้ว่า บุคคลผู้เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อสารมวลชนใดๆ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
การกระทำดังกล่าวมีโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึง 10 ปีและปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561
กรณีที่มีผู้ถือครองหุ้นสื่อสารมวลชนแล้วสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ศาลฎีกาได้มีคำวินิจฉัยที่เป็นคำสั่งผ่านมาถึง 10 คดี โดยมีแนวว่า ผู้ที่ถือหุ้นสื่อสารมวลชนในนิติบุคคล แม้ว่านิติบุคคลนั้นจะได้เลิกประกอบกิจการสื่อสารมวลชนไปแล้ว แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนเลิกประกอบกิจการอย่างเป็นทางการ บุคคลนั้นถือว่าต้องห้ามสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รวมถึงกรณีที่นิติบุคคลมีวัตถุประสงค์ที่จดทะเบียนไว้ว่ามีกิจการสื่อสารมวลชน แม้ไม่ได้ประกอบกิจการสื่อสารมวลชน บุคคลนั้นถือว่า ต้องห้ามสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเช่นกัน
หากศึกษาจากแนวคำวินิจฉัย ซึ่งเป็นคำสั่งของศาลฎีกา จะเห็นได้ว่าเป็นการตีความอย่างเคร่งครัด
ด้วยความเคารพในคำวินิจฉัยและดุลพินิจของศาลฎีกา เรื่องการตีความเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ หากเปรียบเทียบกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ 10 กว่าปีก่อน
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหลายฉบับ ได้เคยกำหนดข้อห้ามการขาดคุณสมบัติของบุคคลที่จะเข้าดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรี ในกรณีที่มีคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดให้ต้องโทษจำคุก
ได้มีนักการเมืองอาวุโสท่านหนึ่ง ตามกระแสข่าวปัจจุบันได้สนใจและหันเหไปประกอบกิจการเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลอาชีพ ในครั้งนั้นท่านได้ถูกพิพากษาคดีถึงที่สุดในคดีหมิ่นประมาทได้รับโทษจำคุก แต่ศาลได้เมตตารอลงอาญา ซึ่งหมายความว่าแม้จะถูกพิพากษาให้ได้รับโทษจำคุก แต่ไม่ต้องรับโทษด้วยการติดคุกจริงๆ เพียงแต่ภายในระยะเวลาที่กำหนด หากกระทำความผิดอีกจะต้องได้รับโทษจำคุกใหม่รวมกับโทษเก่า แต่หากภายในระยะเวลาที่กำหนด ไม่ได้กระทำผิดอาญาใดๆ อีก ก็จะไม่ต้องได้รับโทษจำคุกเลย
จึงมีประเด็นว่า นักการเมืองอาวุโสท่านนั้นจะสามารถรับและดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีได้หรือไม่ ตามรัฐธรรมนูญที่ใช้บังคับในขณะนั้น
เรื่องนี้ได้เข้าสู่การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้วินิจฉัยว่า กรณีดังกล่าว การขาดคุณสมบัติจะต้องเป็นกรณีที่เคยได้รับโทษจำคุกจริงๆ ดังนั้นการได้รับโทษจำคุกแต่ได้รับการรอลงอาญา จึงไม่ขาดคุณสมบัติ
เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยแล้ว สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญหลายคนได้แสดงความคิดเห็นว่า มีบันทึกรายงานการประชุมในขณะที่ร่างรัฐธรรมนูญว่า การขาดคุณสมบัติดังกล่าวรวมถึง กรณีที่ศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดให้จำคุกแม้จะได้รับการรอลงอาญาด้วย
อย่างไรก็ตาม อำนาจในการวินิจฉัยอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ นักการเมืองอาวุโสท่านนั้นจึงได้เข้ารับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรี
ในประเด็นเรื่องการโอนหุ้นสื่อสารมวลชน ซึ่งรวมถึงการโอนหุ้นในกรณีทั่วๆ ไปด้วย การตรวจสอบรายชื่อผู้ถือหุ้น ในทางปฏิบัติจะตรวจสอบบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นที่ได้แสดงและยื่นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
แต่ในทางกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จะถือว่าการโอนหุ้นในนิติบุคคลโดยเฉพาะบริษัท จะสมบูรณ์เมื่อได้บันทึกไว้ในสมุดทะเบียนหุ้น ซึ่งในทางธุรกิจการตรวจสอบรายชื่อ
ผู้ถือหุ้นของบริษัทมักไม่ได้ถือตามนั้น แต่จะถือการตรวจสอบที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์เป็นสำคัญ
ดังนั้นหากมีข้อถกเถียงเรื่องการโอนหุ้นในบริษัทจะถือว่าโอนกันเมื่อไหร่แน่ จึงเป็นปัญหาในเรื่องการรับฟังพยานหลักฐานของศาลที่จะวินิจฉัย
ในประเด็นเรื่องการรับฟังพยานหลักฐาน มีกรณีศึกษาที่น่าสนใจ เกี่ยวกับพินัยกรรม การทำพินัยกรรมตามกฎหมายไม่ได้บังคับว่า จะต้องมีแพทย์เป็นพยานในขณะทำพินัยกรรม และไม่ได้บังคับว่าจะต้องบันทึกหรือถ่ายภาพในขณะที่ทำพินัยกรรมไว้เช่นกัน
ได้เคยมีคดีความเกี่ยวกับการทำพินัยกรรม ของตระกูลใหญ่รายหนึ่ง ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้เมื่อไม่นานนี้ ซึ่งถือเป็นคดีดังระดับประเทศ เป็นกรณีที่เจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินมูลค่า 300 กว่าล้านบาท ให้แก่บุคคลอื่นภายนอกครอบครัว ทั้งที่เจ้ามรดกนั้นมีบุตร จึงเกิดเป็นคดีความขึ้นสู่ศาล ประเด็นมีว่า พินัยกรรมฉบับนั้นเป็นพินัยกรรมปลอมหรือไม่ ศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่า แม้กฎหมายไม่ได้บังคับว่าในขณะทำพินัยกรรมจะต้องมีแพทย์เป็นพยาน และจะต้องบันทึกภาพในขณะทำพินัยกรรม ซึ่งพินัยกรรมฉบับนี้ไม่มีทั้งแพทย์ และไม่ได้บันทึกภาพในขณะทำพินัยกรรมไว้ จึงไม่เชื่อว่า ได้ทำพินัยกรรมขึ้นจริง บุคคลอื่นภายนอกซึ่งเป็นผู้รับมรดกตามพินัยกรรมไม่สามารถรับมรดกซึ่งเป็นที่ดินมูลค่า 300 กว่าล้านบาทได้
กรณีดังกล่าวแม้กฎหมายอาจจะไม่ได้บังคับไว้ แต่หากมีข้อสงสัยอาจถือเป็นข้อพิรุธที่ศาลไม่รับฟังพยานหลักฐานของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้
คำวินิจฉัยเกี่ยวกับเรื่องพินัยกรรมนี้ แม้จะดูว่าเป็นคนละเรื่องกับการโอนหุ้นสื่อสารมวลชนที่มีการกล่าวอ้างว่า โอนกันจริงอย่าง เร่งรีบ เร่งด่วนหรือไม่
ถือเป็นดุลพินิจของศาลที่จะวินิจฉัยและเชื่อถือพยานหลักฐานตามที่มีอยู่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี