nn วันที่ 27 สิงหาคม 2562 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/2563 รอบที่ 1 วงเงินรวมทั้งสิ้น 21,496 ล้านบาท โดยกำหนดราคาและปริมาณประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15% ไม่เกินครัวเรือนละ 40 ไร่ โดยชดเชยเป็นจำนวนตัน...โดย 1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ 15,000 บาท/ตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน 2) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ 14,000 บาท/ตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน 3) ข้าวเปลือกเจ้า 10,000 บาท/ตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน 4) ข้าวเปลือกหอมปทุม 11,000 บาท/ตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน 5) ข้าวเปลือกเหนียว 12,000 บาท/ตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน
ทั้งนี้การคำนวณปริมาณผลผลิตของเกษตรกรที่จะได้รับสิทธิในการชดเชย ให้ใช้ปริมาณผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวกำหนด และในกรณีเกษตรกรเพาะปลูกข้าวมากกว่า 1 ชนิด ให้ใช้สิทธิ์ได้ไม่เกินจำนวนขั้นสูงของข้าวแต่ละชนิด และเมื่อรวมกันต้องไม่เกินขั้นสูงของชนิดข้าวที่กำหนดไว้สูงสุด
นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปี 2562/2563 และอนุมัติงบประมาณในการดำเนินโครงการวงเงินไม่เกิน 25,482 ล้านบาท โดยมีกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ปลูกข้าวปี 2019 กับกรมส่งเสริมการเกษตรจำนวน 4.31 ล้านครัวเรือน ซึ่งจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่
โครงการนี้มองว่า ชาวนาที่ปลูกข้าวเจ้า น่าจะได้รับผลประโยชน์จากโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวมากที่สุด โดยได้รับเงินชดเชยส่วนต่างราคาข้าวเพิ่มขึ้นประมาณ 30% จากราคาตลาดโดยเฉลี่ยในปัจจุบัน ในขณะที่ชาวนาผู้ปลูกข้าวหอมมะลิ และข้าวเหนียวจะได้รับผลประโยชน์จากโครงการนี้น้อยกว่า เนื่องจากราคาตลาดโดยเฉลี่ยในปัจจุบันของข้าวหอมมะลิ และข้าวเหนียวใกล้เคียงกับราคาประกันแล้ว อีกทั้งราคาตลาดของข้าวเหนียวก็ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2562 เป็นต้นไป ราคาตลาดโดยเฉลี่ยของข้าวเหนียวน่าจะปรับตัวสูงขึ้นเกินกว่า 12,000 บาท/ตัน ซึ่งเป็นราคาประกัน ทั้งนี้อีไอซีคาดว่า หากสถานการณ์ภัยแล้งยังไม่รุนแรงขึ้นกว่า ณ ปัจจุบัน โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/2563 รอบที่ 1 นี้ น่าจะใช้งบประมาณ 19,000 ล้านบาท แต่หากสถานการณ์ภัยแล้งรุนแรงขึ้น โครงการนี้ก็น่าจะใช้งบประมาณลดลง เนื่องจากผลผลิตข้าวลดลง
ทั้งนี้ราคาข้าวหอมมะลิ และข้าวเหนียวที่อยู่ในระดับสูงนี้ เป็นผลมาจากปริมาณผลผลิตที่ลดลงจากสถานการณ์ภัยแล้งตั้งแต่ต้นปี 2562 อีกทั้งยังเกิดภาวะฝนทิ้งช่วงในฤดูฝนที่ผ่านมา โดยปริมาณน้ำในเขื่อนในช่วงฤดูฝนในปี 2562 ในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่เพาะปลูกข้าวหอมมะลิ และข้าวเหนียวที่สำคัญ มีปริมาณน้ำน้อยใกล้เคียงกับปี 2557 ซึ่งเป็นปีที่แล้งที่สุดในรอบ 10 ปี ส่งผลให้พื้นที่เพาะปลูกและผลผลิตข้าวได้รับความเสียหายจำนวนมาก โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ระบุว่า ณ เดือนสิงหาคม 2562 นาข้าวเสียหายสิ้นเชิงจากภัยแล้ง 600,000 ไร่ คิดเป็น 9% ของพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ
โครงการประกันรายได้น่าจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ชาวนาได้บางส่วน อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการภาวะภัยแล้งยังเป็นประเด็นสำคัญเร่งด่วนมากกว่า โดยยังต้องจับตาในช่วงที่เหลือของปี 2562 หากสถานการณ์ภัยแล้งในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความรุนแรงขึ้น จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อผลผลิตข้าวนาปีในปี 2562/2563 อย่างต่อเนื่อง และส่งผลให้ปริมาณผลผลิตข้าวที่จะมาเข้าโครงการประกันรายได้ในรอบนี้ อาจไม่สูงมากนัก ซึ่งจะทำให้โครงการนี้ไม่ได้ช่วยยกระดับรายได้ให้กับชาวนาได้อย่างเต็มที่
Economic Intelligence Center (EIC)
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี