วันอาทิตย์ ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
nn ต้องยอมรับความจริงว่าตอนนี้ไทยได้แต่นั่งมองตาปริบๆ กลุ่มทุนต่างชาติย้ายฐานการผลิตหนีจากจีนเพราะผลกระทบสงครามการค้า ต่างเล็งเป้าไปที่...เวียดนาม เมียนมา อินโดนีเซีย กัมพูชา....แต่ไม่มีรายไหนปักหมุดมาที่ไทยเลย....ซึ่งอันนี้ก็ต้องยอมรับอีกแหละว่าเพราะเทียบกับทุกประเทศที่กล่าวมา...ไทยไม่มีจุดเด่นอะไรสู้เขาได้อีกแล้ว....ค่าจ้างแรงงานไทยก็สูงกว่า...สิทธิประโยชน์ทางภาษี หรือด้านอื่นๆ ก็สู้ไม่ได้เงื่อนไขทางสังคมของไทยก็สูงกว่า (มีสิทธิจะถูกต่อด้านสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชนได้ตลอดเวลา)...ที่สำคัญจุดอ่อนสำคัญคือความไม่แน่นอนทางการเมือง และความผันผวนของนโยบาย ที่เปลี่ยนทุกครั้งเมื่อเปลี่ยนตัวผู้บริหารนโยบาย(รัฐมนตรี) ซึ่งเกิดขึ้นได้ง่ายมากในบริบททางการเมืองขณะนี้ของไทย...
เมื่อจุดขายเดิมๆ ไม่มีแต่ยังจำเป็นต้องพึ่งพาเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ ก็จำเป็นต้องสร้างจุดขายใหม่...ซึ่งสิ่งที่ไทยเหลืออยู่ตอนนี้คือ ความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ ที่ไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชีย...และสามารถเชื่อต่อไปยังภูมิภาคอื่นของโลกได้...ไทยจึงจำเป็นต้องเร่งพัฒนาโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี...ซึ่งนักลงทุนต่างชาติทั่วโลกที่เห็นเปเปอร์โครงการนี้แล้วทุกรายชอบและรอคอยโอกาสที่จะเข้ามาลงทุนในวันที่ อีอีซี เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม...
แต่หัวใจสำคัญของโครงการอีอีซี...คือการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและการขนส่ง..เพื่อลดอุปสรรคด้านโลจิสติกส์ ซึ่งนับเป็นต้นทุนที่สูงมากสำหรับระบบเศรษฐกิจไทยขณะนี้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ....การขนส่งทางน้ำขณะนี้โครงการขยายท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุด และแหลมฉบัง กำลังเดินหน้าไปโดยจะมีการเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟรางคู่ ซึ่งจะลดปัญหาการขนส่งโดยรถบรรทุก ขณะที่การขนส่งทางอากาศ ก็กำลังเดินหน้าโครงการอัพเกรดสนามบินอู่ตะเภา ให้เป็นสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ ซึ่งก็จะรองรับการเดินทางของนักท่องเที่ยวและผู้คนที่จะเพิ่มขึ้นในพื้นที่ อีอีซี (3 จังหวัด)
และอีกหนึ่งโครงการสำคัญที่จะร้อยรัดระบบการขนส่งทั้งหลายไว้เป็นเนื้อเดียวกัน และทำให้การเคลื่อนย้ายคนและสินค้าจากส่วนอื่นของประเทศไปยังพื้นที่อีอีซี เป็นไปอย่างราบรื่นไม่มีรอยต่อให้เกิดการสะดุดหรือติดขัดเรื่องการเดินทาง...ก็คือโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (สุวรรณภูมิ ดอนเมือง และอู่ตะเภา) นั่นเอง...แล้วก็ดูเหมือนว่ารัฐบาลเองก็รู้ดีว่า โครงการนี้คือหัวใจสำคัญที่จะทำให้โครงการอีอีซีประสบความเสร็จหรือไม่....
จริงแล้วโครงการการรถไฟฯนี้ก็เดินหน้ามาตามลำดับตั้งแต่ปลายปี’61....กลุ่มกิจการร่วมค้า เจริญโภคภัณฑ์และพันธมิตร (CPH)...ซึ่งได้รับเลือกจาก การรถไฟแห่งประเทศ (ร.ฟ.ท.)...เป็นผู้ร่วมลงทุนกับรัฐในรูปแบบPPP...ก็เดินหน้าทำงานร่วมกันมาเป็นลำดับ...จะกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล เปลี่ยนตัวผู้คุมนโยบายของ กระทรวงคมนาคม...การทำงานร่วมกันระหว่าง CPH กับ ร.ฟ.ท.ก็กลับมาสะดุดอีกครั้ง เพราะสิ่งที่คุยกันไว้แต่ต้นจนเกือบจะเซ็นสัญญากันได้แล้ว...กลับเปลี่ยนไปจนเกิดปมปัญหาใหญ่ที่ต้องคุยเจรจากันอีกครั้ง....
ปมปัญหาใหญ่คือ “เรื่องการส่งมอบพื้นที่”....เพราะการก่อสร้างรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบิน มีจุดตัดจำนวนมาก 230 จุด เกี่ยวข้องกับ 3 กระทรวง 8 หน่วยงาน...สิ่งก่อสร้างที่ต้องรื้อถอน มีทั้งท่ออุโมงค์ยักษ์ของ กทม. ระบบท่อประปาขนาดใหญ่ ของการประปานครหลวง ระบบท่อก๊าซ ของ ปตท. ท่อน้ำมันยาว 4 กิโลเมตร การรื้อเสาไฟฟ้าแรงสูง 230 จุดของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ย้ายเสาไฟลงใต้ดินความยาว 4 กิโลเมตร ของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.)...การย้ายเวนคืนบ้านเรือนประชาชน ฯลฯ....
สิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงอยู่ตอนนี้ในเรื่องการส่งมอบพื้นที่...ร.ฟ.ท. จำกัด หน้าที่และการควบคุมดูแลการส่งมอบและควบพื้นที่...นั่นแปลว่า ให้ถือเป็นเหตุสุดวิสัย หาก ร.ฟ.ท.ไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ได้...ดังนั้นถ้า รฟม.ไม่ส่งมอบพื้นที่ เอกชนก็ไม่สามารถทำอะไรได้...แล้วอย่างนี้ใครจะรับความเสี่ยงนี้ได้ คงไม่มีสถาบันการเงินจะให้เงินกู้ได้แน่ๆแบบนี้... แต่ที่น่ากังขา...คือทำไม ร.ฟ.ท.จึงได้ทำอะไรที่มันขัดกับหลักการเจรจาที่ตกลงกันว่าจะส่งมอบพื้นที่ทั้งหมดก่อนที่เอกชนจะเริ่มทำโครงการ ????
เมื่อจำนวนพื้นที่ส่งมอบไม่ชัดเจนพอที่จะทำให้โครงกรแล้วเสร็จได้ตามสัญญา 5 ปี...เอกชนก็ต้องกังวลใจว่า เพราะหากโครงการล่าช้ากว่ากำหนดค่าใช้จ่ายก็ต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน เฉพาะแค่ค่าดอกเบี้ยก็วันละ 25 ล้านบาท โครงการช้าไป 1 ปี ดอกเบี้ยรับประทานไปฟรีๆ 9 พันกว่าล้าน...ยังไม่นับรวมค่าปรับจากการก่อสร้างล่าช้ากว่ากำหนดอีกวัน 9 ล้านบาท...
นอกจากนั้น ระยะเวลาส่งมอบพื้นที่ ร.ฟ.ท.จะประมาณการเองว่าจะส่งมอบได้เมื่อใด...นั่นก็แปลว่าร.ฟ.ท.จะเปลี่ยนเวลาส่งมอบพื้นที่ได้เองโดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากเอกชน...แบบนี้ก็เท่ากับว่าขัดหลักการของ PPP ในการร่วมรับความเสี่ยง... เท่านั้นไม่พอมีการเพิ่มเรื่องการรื้อย้ายสาธารณูปโภคและสิ่งกีดขวางมาให้เป็นหน้าที่ของเอกชนอีก....ซึ่งอันนี้ขัดกับเงื่อนไขร่างสัญญาร่วมทุนฯที่สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาแล้ว และยังขัดกับเงื่อนไขเอกสารคิดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนฯ...และมีประเด็นที่ว่าเอกชนไม่มีสิทธิที่จะใช้ประโยชน์พื้นที่โครงการเพียงผู้เดียว ร.ฟ.ท.สามารถให้บุคลอื่นใช้ประโยชน์ในพื้นที่โครงการได้...แปลว่าอย่างนี้แล้ว ร.ฟ.ท.ให้รายอื่นมาบริการรถไฟแข่งได้ด้วยอย่างนั้นหรือ???....ส่วนงานใหม่ที่เพิ่มเติมเข้ามาให้เอกชนต้องดำเนินการในส่วนพื้นที่ตั้งพ่วงรางบริเวณมักกะสัน...ซึ่งอันนี้ก็ไม่เคยมีการพิจารณามาก่อน...
ทั้งเรื่องความเสี่ยงที่เอกชนต้องแบกรับไปเพียงลำพัง และยังมีการดำเนินการที่ผิดกับเงื่อนไขสัมปทาน ผิดไปจากหลักการร่วมลงทุน(PPP)....ถ้าเอกชนยังฝืนลงนามไปทั้งมีปมปัญหาเหล่านี้คาอยู่...ก็เท่ากับกำลังทำภารกิจฆ่าตัวตายแล้วล่ะครับ...การที่ รมว.คมนาคม รองนายกฯที่ดูแลนโยบายคมนาคม พยายามจะบีบให้เอกชนลงนามในสัญญาที่ปัญหาใหญ่รออยู่ข้างหน้าแบบนี้ แล้วก็เสี่ยงที่จะทำให้โครงการไม่สำเร็จ....ถามจริงๆเถอะว่าทำเพื่อชาติหรือทำเพื่อใคร ?????
กระบองเพชร

‘ทั่วไทย’ฝนกระหน่ำ อุตุฯเตือน‘7 จว.ภาคเหนือ’ตกหนัก ระวังน้ำท่วมฉับพลัน-น้ำป่าหลาก
‘คุณน้ำผึ้ง’เที่ยวเจาะลึก Unseen สามพันโบก
‘หนุ่ม-แท่ง’ พาทัวร์ ‘วัดสารนารถธรรมาราม’ สักการะคุณแม่บุญเรือน อร่อยกับอาหารทะเล จ.ระยอง
‘ลุค อิชิคาว่า’ นำทีมนักแสดง ‘Rock and Soul จังหวะร็อก ปาฏิหาริย์รัก’ เปิดคาแรกเตอร์ในจอ สู่ตัวจริงนอกจอ
‘มิตรรัก ทั่วไทย’ พาเที่ยวเมืองโอ่งมังกร จ.ราชบุรี

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี