nn ต้องยอมรับความจริงว่าตอนนี้ไทยได้แต่นั่งมองตาปริบๆ กลุ่มทุนต่างชาติย้ายฐานการผลิตหนีจากจีนเพราะผลกระทบสงครามการค้า ต่างเล็งเป้าไปที่...เวียดนาม เมียนมา อินโดนีเซีย กัมพูชา....แต่ไม่มีรายไหนปักหมุดมาที่ไทยเลย....ซึ่งอันนี้ก็ต้องยอมรับอีกแหละว่าเพราะเทียบกับทุกประเทศที่กล่าวมา...ไทยไม่มีจุดเด่นอะไรสู้เขาได้อีกแล้ว....ค่าจ้างแรงงานไทยก็สูงกว่า...สิทธิประโยชน์ทางภาษี หรือด้านอื่นๆ ก็สู้ไม่ได้เงื่อนไขทางสังคมของไทยก็สูงกว่า (มีสิทธิจะถูกต่อด้านสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชนได้ตลอดเวลา)...ที่สำคัญจุดอ่อนสำคัญคือความไม่แน่นอนทางการเมือง และความผันผวนของนโยบาย ที่เปลี่ยนทุกครั้งเมื่อเปลี่ยนตัวผู้บริหารนโยบาย(รัฐมนตรี) ซึ่งเกิดขึ้นได้ง่ายมากในบริบททางการเมืองขณะนี้ของไทย...
เมื่อจุดขายเดิมๆ ไม่มีแต่ยังจำเป็นต้องพึ่งพาเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ ก็จำเป็นต้องสร้างจุดขายใหม่...ซึ่งสิ่งที่ไทยเหลืออยู่ตอนนี้คือ ความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ ที่ไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชีย...และสามารถเชื่อต่อไปยังภูมิภาคอื่นของโลกได้...ไทยจึงจำเป็นต้องเร่งพัฒนาโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี...ซึ่งนักลงทุนต่างชาติทั่วโลกที่เห็นเปเปอร์โครงการนี้แล้วทุกรายชอบและรอคอยโอกาสที่จะเข้ามาลงทุนในวันที่ อีอีซี เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม...
แต่หัวใจสำคัญของโครงการอีอีซี...คือการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและการขนส่ง..เพื่อลดอุปสรรคด้านโลจิสติกส์ ซึ่งนับเป็นต้นทุนที่สูงมากสำหรับระบบเศรษฐกิจไทยขณะนี้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ....การขนส่งทางน้ำขณะนี้โครงการขยายท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุด และแหลมฉบัง กำลังเดินหน้าไปโดยจะมีการเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟรางคู่ ซึ่งจะลดปัญหาการขนส่งโดยรถบรรทุก ขณะที่การขนส่งทางอากาศ ก็กำลังเดินหน้าโครงการอัพเกรดสนามบินอู่ตะเภา ให้เป็นสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ ซึ่งก็จะรองรับการเดินทางของนักท่องเที่ยวและผู้คนที่จะเพิ่มขึ้นในพื้นที่ อีอีซี (3 จังหวัด)
และอีกหนึ่งโครงการสำคัญที่จะร้อยรัดระบบการขนส่งทั้งหลายไว้เป็นเนื้อเดียวกัน และทำให้การเคลื่อนย้ายคนและสินค้าจากส่วนอื่นของประเทศไปยังพื้นที่อีอีซี เป็นไปอย่างราบรื่นไม่มีรอยต่อให้เกิดการสะดุดหรือติดขัดเรื่องการเดินทาง...ก็คือโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (สุวรรณภูมิ ดอนเมือง และอู่ตะเภา) นั่นเอง...แล้วก็ดูเหมือนว่ารัฐบาลเองก็รู้ดีว่า โครงการนี้คือหัวใจสำคัญที่จะทำให้โครงการอีอีซีประสบความเสร็จหรือไม่....
จริงแล้วโครงการการรถไฟฯนี้ก็เดินหน้ามาตามลำดับตั้งแต่ปลายปี’61....กลุ่มกิจการร่วมค้า เจริญโภคภัณฑ์และพันธมิตร (CPH)...ซึ่งได้รับเลือกจาก การรถไฟแห่งประเทศ (ร.ฟ.ท.)...เป็นผู้ร่วมลงทุนกับรัฐในรูปแบบPPP...ก็เดินหน้าทำงานร่วมกันมาเป็นลำดับ...จะกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล เปลี่ยนตัวผู้คุมนโยบายของ กระทรวงคมนาคม...การทำงานร่วมกันระหว่าง CPH กับ ร.ฟ.ท.ก็กลับมาสะดุดอีกครั้ง เพราะสิ่งที่คุยกันไว้แต่ต้นจนเกือบจะเซ็นสัญญากันได้แล้ว...กลับเปลี่ยนไปจนเกิดปมปัญหาใหญ่ที่ต้องคุยเจรจากันอีกครั้ง....
ปมปัญหาใหญ่คือ “เรื่องการส่งมอบพื้นที่”....เพราะการก่อสร้างรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบิน มีจุดตัดจำนวนมาก 230 จุด เกี่ยวข้องกับ 3 กระทรวง 8 หน่วยงาน...สิ่งก่อสร้างที่ต้องรื้อถอน มีทั้งท่ออุโมงค์ยักษ์ของ กทม. ระบบท่อประปาขนาดใหญ่ ของการประปานครหลวง ระบบท่อก๊าซ ของ ปตท. ท่อน้ำมันยาว 4 กิโลเมตร การรื้อเสาไฟฟ้าแรงสูง 230 จุดของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ย้ายเสาไฟลงใต้ดินความยาว 4 กิโลเมตร ของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.)...การย้ายเวนคืนบ้านเรือนประชาชน ฯลฯ....
สิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงอยู่ตอนนี้ในเรื่องการส่งมอบพื้นที่...ร.ฟ.ท. จำกัด หน้าที่และการควบคุมดูแลการส่งมอบและควบพื้นที่...นั่นแปลว่า ให้ถือเป็นเหตุสุดวิสัย หาก ร.ฟ.ท.ไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ได้...ดังนั้นถ้า รฟม.ไม่ส่งมอบพื้นที่ เอกชนก็ไม่สามารถทำอะไรได้...แล้วอย่างนี้ใครจะรับความเสี่ยงนี้ได้ คงไม่มีสถาบันการเงินจะให้เงินกู้ได้แน่ๆแบบนี้... แต่ที่น่ากังขา...คือทำไม ร.ฟ.ท.จึงได้ทำอะไรที่มันขัดกับหลักการเจรจาที่ตกลงกันว่าจะส่งมอบพื้นที่ทั้งหมดก่อนที่เอกชนจะเริ่มทำโครงการ ????
เมื่อจำนวนพื้นที่ส่งมอบไม่ชัดเจนพอที่จะทำให้โครงกรแล้วเสร็จได้ตามสัญญา 5 ปี...เอกชนก็ต้องกังวลใจว่า เพราะหากโครงการล่าช้ากว่ากำหนดค่าใช้จ่ายก็ต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน เฉพาะแค่ค่าดอกเบี้ยก็วันละ 25 ล้านบาท โครงการช้าไป 1 ปี ดอกเบี้ยรับประทานไปฟรีๆ 9 พันกว่าล้าน...ยังไม่นับรวมค่าปรับจากการก่อสร้างล่าช้ากว่ากำหนดอีกวัน 9 ล้านบาท...
นอกจากนั้น ระยะเวลาส่งมอบพื้นที่ ร.ฟ.ท.จะประมาณการเองว่าจะส่งมอบได้เมื่อใด...นั่นก็แปลว่าร.ฟ.ท.จะเปลี่ยนเวลาส่งมอบพื้นที่ได้เองโดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากเอกชน...แบบนี้ก็เท่ากับว่าขัดหลักการของ PPP ในการร่วมรับความเสี่ยง... เท่านั้นไม่พอมีการเพิ่มเรื่องการรื้อย้ายสาธารณูปโภคและสิ่งกีดขวางมาให้เป็นหน้าที่ของเอกชนอีก....ซึ่งอันนี้ขัดกับเงื่อนไขร่างสัญญาร่วมทุนฯที่สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาแล้ว และยังขัดกับเงื่อนไขเอกสารคิดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนฯ...และมีประเด็นที่ว่าเอกชนไม่มีสิทธิที่จะใช้ประโยชน์พื้นที่โครงการเพียงผู้เดียว ร.ฟ.ท.สามารถให้บุคลอื่นใช้ประโยชน์ในพื้นที่โครงการได้...แปลว่าอย่างนี้แล้ว ร.ฟ.ท.ให้รายอื่นมาบริการรถไฟแข่งได้ด้วยอย่างนั้นหรือ???....ส่วนงานใหม่ที่เพิ่มเติมเข้ามาให้เอกชนต้องดำเนินการในส่วนพื้นที่ตั้งพ่วงรางบริเวณมักกะสัน...ซึ่งอันนี้ก็ไม่เคยมีการพิจารณามาก่อน...
ทั้งเรื่องความเสี่ยงที่เอกชนต้องแบกรับไปเพียงลำพัง และยังมีการดำเนินการที่ผิดกับเงื่อนไขสัมปทาน ผิดไปจากหลักการร่วมลงทุน(PPP)....ถ้าเอกชนยังฝืนลงนามไปทั้งมีปมปัญหาเหล่านี้คาอยู่...ก็เท่ากับกำลังทำภารกิจฆ่าตัวตายแล้วล่ะครับ...การที่ รมว.คมนาคม รองนายกฯที่ดูแลนโยบายคมนาคม พยายามจะบีบให้เอกชนลงนามในสัญญาที่ปัญหาใหญ่รออยู่ข้างหน้าแบบนี้ แล้วก็เสี่ยงที่จะทำให้โครงการไม่สำเร็จ....ถามจริงๆเถอะว่าทำเพื่อชาติหรือทำเพื่อใคร ?????
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี