ในแทบทุกครั้งที่บรรยายเรื่องการเงินส่วนบุคคล หัวข้อหนึ่งที่คนส่วนใหญ่มักรู้สึกเฉยๆ ไม่ค่อยสนใจฟังกันสักเท่าไหร่ ก็คือ เรื่องการจัดการความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องของการเก็บเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน (ส่วนใหญ่อยากฟังเรื่องการลงทุนมากกว่า)
เอาเข้าจริง เงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน หรือ Emergency Fund เป็นเรื่องที่สำคัญมาก สำคัญถึงขั้นเป็นเป้าหมายแรกของการออมเลยทีเดียว เรียกได้ว่า ก่อนที่จะคิดไปถึงการวางแผนการเงินเพื่อความมั่งคั่ง คนเราควรเผื่อเหลือเผื่อขาดเก็บเงินไว้ในตะกร้านี้ให้เต็มก่อนเป็นอันดับแรก
โดยเป้าหมายของการเก็บเงินก้อนนี้ ก็คือ 6 เท่าของค่าใช้จ่ายรวมต่อเดือน (เช่น ถ้าเดือนหนึ่งใช้ 20,000 บาท เงินสำรองก็จะเท่ากับ 20,000 x 6 = 120,000 บาท) เก็บสะสมไว้ในที่ที่รักษาเงินต้น (เงินต้นไม่สูญหาย) และมีสภาพคล่องในการเบิกถอนสูง
เงินฝากสถาบันการเงิน เงินฝากสหกรณ์ กองทุนรวมตลาดเงิน กองทุนรวมตราสารหนี้ สลากออมสิน (หรือ ธ.ก.ส.) จะเลือกช่องทางไหนก็ได้ทั้งหมด
ค่อยๆ ทยอยเก็บทีละน้อย ควบคู่ไปกับตะกร้าเงินอื่นๆ (เช่น เงินเกษียณ) เต็มครบ 6 เท่าของรายจ่ายก็หยุดเก็บสะสม แล้วเอาเงินออมไปสะสมในตะกร้าอื่นๆ แทน
เหตุผลที่เราต้องเก็บเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินไว้บ้างก็เพราะชีวิตมีความไม่แน่นอนสูง ยิ่งกรณีของการขาดหายไปของรายได้ (Income Shock) ไม่ว่าจะเกิดจากการตกงานถูกลดค่าแรง เลื่อนการรับชำระเงิน คนในครอบครัวเจ็บป่วยกะทันหัน ฯลฯ คนที่ไม่มีเงินสำรอง ก็อาจมีความจำเป็นต้องหยิบยืม และพาชีวิตเข้าสู่วงจรหนี้ได้
ด้วยเหตุที่เป็น “เงินเตรียมตัว” เรื่องโชคร้ายอาจไม่เกิดกับเรา และด้วยแหล่งสะสมเงินที่ผมแนะนำไป มักมีอัตราผลตอบแทนที่ต่ำ (เงินสำรองไม่ควรลงทุนในหุ้น อนุพันธ์ หรือแม้แต่สะสมในรูปแบบประกันชีวิต) จึงทำให้ใครหลายคนหงุดหงิดที่เห็นเงินตัวเอง เติบโตในเครื่องมือที่ดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนต่ำติดดิน
หลายคนจึงละเลย ไม่เก็บเงินสำรอง ข้ามไปลุยกับการลงทุนที่มีความเสี่ยงด้วยเงินทั้งหมดที่มี หรือบางคนหนักกว่านั้น คือ แค่เริ่มเก็บให้มี ยังไม่เริ่มเก็บเลย ด้วยคิดเอาเองว่า
“เราคงไม่โชคร้ายขนาดนั้น”
แล้วก็หลายครั้งอีกเช่นกัน ที่เรื่องโชคร้ายที่ไม่น่าจะเกิดกับเรา ดันมาเกิดกับเรา หรือคนในอุปการะของเราแล้วกลายมาเป็นปัญหาการเงินก้อนใหญ่ ที่ทำให้ชีวิตการเงินเสียหาย
เช้าวันนี้ขณะเขียนบทความ น้องคนหนึ่งเขียนข้อความส่งมาทางเฟซบุ๊คเล่าให้ฟังว่า ปีก่อนบริษัทจ่ายโบนัส 3 เดือน เขาได้เงินมาราว 200,000 บาท ตอนแรกตั้งใจจะซื้อของที่อยากได้หลายอย่าง แต่นึกไปนึกมา (ไม่รู้อะไรดลใจ) สุดท้ายตัดสินใจไม่ซื้อของที่เล็งไว้เลยสักอย่าง
เขาหักเงิน 180,000 บาท ไปฝากธนาคารและซื้อกองทุนตราสารหนี้อย่างละครึ่ง เพื่อสะสมไว้เป็นเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน (น้องเค้ารายจ่ายต่อเดือน 30,000 บาท)
เดือนก่อน น้องท่านนี้เพิ่งถูกให้ออกจากงาน เนื่องจากบริษัทมีการควบรวมกิจการ และมีการลดตำแหน่งงานที่ซ้ำซ้อนลง แจ๊กพอตมาลงที่เขาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
แม้จะต้องออกจากงาน แต่เขารู้สึกขอบคุณตัวเองที่วันนั้นตัดใจไม่ซื้อของที่อยากได้ แล้วนำมาสะสมเป็นทุนสำรองชีวิตของตัวเอง (ที่จริงจะเก็บสักครึ่ง แล้วค่อยทยอยเก็บเพิ่มก็ได้) อย่างน้อยก็ยังมีเงินใช้อีก 6 เดือนมีเวลาคิด เวลาหางานใหม่ โดยไม่ต้องห่วงเรื่องปากท้องได้สักระยะ
เรื่องราวของเงินสำรองมักเป็นอย่างนี้ครับ
อาจขัดใจคนเก็บสะสมอยู่บ้าง ในวันที่อะไรยังดีๆ
แต่ในวันที่อะไรๆ ไม่เป็นใจ วันนั้นแหละ คุณถึงจะเข้าใจความสำคัญของเงินก้อนนี้
แล้วคุณหละ! วางแผนจะรับมือกับความเสี่ยงของการขาดหายไปของรายได้อย่างไร
อยู่เฉยๆ เจอแล้วค่อยคิดค่อยว่ากัน หรือลงมือเริ่มเก็บสะสมตั้งแต่วันนี้ (และเริ่มหาแหล่งรายได้ที่ 2 และ 3)
ทั้งสองทางเลือกเป็นสิทธิที่อยู่ในความรับผิดชอบของคุณครับ
#TheMoneyCoach
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี