nn กลายเป็นข่าวร้อนอีกครั้งกับเส้นทางการพิจารณาข้อเสนอต่อขยายสัมปทานรถไฟฟ้า สายสีเขียว ระหว่างกรุงเทพมหานคร (กทม.) กับ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTS) ต้องถูกถอนออกจากวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา หลังจากที่กระทรวงคมนาคมกระโดดออกมาขวางแนวทางดังกล่าวเต็มพิกัด ด้วยข้ออ้างเดิมไม่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว...โดยกระทรวงคมนาคมได้เสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของครม.ยืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอต่อสัญญาสัมปทานบีทีเอส โดยระบุว่า ได้ทำความเห็นแย้งมาถึง 8 ครั้งแล้ว หากกระทรวงมหาดไทยและ กทม.จะเดินหน้าต่อสัญญาสัมปทานโครงการ ก็ต้องทำให้เกิดความชัดเจน ถูกต้องเป็นไปตามระเบียบกฎหมาย ตลอดจนหลักธรรมาภิบาล พร้อมยังระบุด้วยว่า ที่ผ่านมา กระทรวงคมนาคมได้จัดประชุมเพื่อร่วมหาข้อยุติร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและ กทม.ตามที่นายกฯ มอบหมายแล้ว และได้สอบถามขอข้อมูลรายละเอียดไปยัง กทม. หลายครั้ง แต่ กทม.ไม่จัดส่งรายละเอียดให้ ทำให้ไม่สามารถจะพิจารณาได้
ฟากของผู้บริหาร ของ กทม. เองก็แปลกใจเมื่อพิจารณาข้อท้วงติงของกระทรวงคมนาคมแล้ว พบว่ามีข้อท้วงติงและข้อเสนอที่แตกต่างไปจากข้อท้วงติงเดิมที่กระทรวงคมนาคมเคยนำเสนอต่อที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2563 จนทำให้เส้นทางการพิจารณาต่อขยายสัมปทานรถไฟฟ้า สายสีเขียว เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินคงค้างที่ กทม. มีอยู่กับผู้รับสัมปทานเอกชนไม่สามารถหาข้อยุติได้ โดยแต่เดิม กระทรวงคมนาคมได้อ้าง ประเด็นในเรื่องความครบถ้วนในการดำเนินการตาม พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนปี 2562 และการกำหนดอัตราค่าโดยสารที่กำหนดไว้ 65 บาทตลอดสายโดยอ้างว่าเป็นอัตราที่ไม่เหมาะสมเป็นธรรม พร้อมขอให้ กทม. และบีทีเอสแสดงต้นทุนที่มาที่ไปในการคำนวณอัตราค่าโดยสารดังกล่าว แต่ล่าสุดกระทรวงคมนาคมได้เพิ่มเติมข้อท้วงติงใหม่ขึ้นมาอีกหลายข้อ ประกอบด้วย 1.หาก กทม. จะขยายสัญญาสัมปทานในช่วงที่ยังไม่มีกรรมสิทธิ์ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย กทม. ควรชำระหนี้สินให้แก่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ให้เรียบร้อยก่อนจะเริ่มกระบวนการจัดหาผู้ให้บริการในโครงข่ายสีเขียว ส่วนต่อขยาย 2.หาก กทม.ไม่มีความประสงค์จะให้บริการสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย ก็ควรเสนอ ครม. เพื่อทบทวนมติ ครม. เมื่อ 26 พ.ย. 2561 และมอบหมายให้ รฟม.ดำเนินการ (โอนโครงการกลับคืน รฟม.) 3.หากจะมีการต่อขยายสัญญาสัมปทาน บริษัทต้องแจ้งความประสงค์ไปยัง กทม.ในเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี และไม่มากกว่า 5 ปี ก่อนวันสิ้นสุดสัญญา เนื่องจากต้องให้หน่วยงานที่กำกับดูแลพิจารณาความคุ้มค่าของโครงการร่วมทุนที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งอัตราเงินเฟ้อ และดัชนีผู้บริโภค และต้องได้รับการอนุมัติจาก ครม.ก่อน และ 4.กรณี กทม. มีภาระหนี้จากการว่าจ้างเอกชนติดตั้งระบบเดินรถไฟฟ้าและว่าจ้างเดินรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายทั้ง 2 ส่วน ที่ได้ทำเมื่อปี 2559 ควรมีการตรวจสอบสัญญาว่า มีความชอบด้วยกฎหมาย ระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลหรือไม่ จะส่งผลต่อมูลหนี้ดังกล่าวว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ต่อไป
นอกจากนี้ ในรายงานของกระทรวงคมนาคมยังระบุด้วยว่า จากการศึกษาข้อมูลยังพบว่า ผลประโยชน์ของภาครัฐที่จะได้รับตลอดระยะเวลาสัมปทานถึงปี 2602 ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอต่อขยายอายุสัญญา 30 ปีนั้น กรณีที่รัฐดำเนินการเองจะมีผลประโยชน์สูงกว่ากรณีให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการ โดยพบว่า กรณี กทม.ดำเนินการเองภาครัฐจะมีกระแสเงินสดสุทธิ (ปี 2602) 4.67 แสนล้านบาท แต่หาก กทม. ให้เอกชนดำเนินการ ภาครัฐจะมีกระแสเงินสดสุทธิในปี 2602 จำนวน 3.26 หมื่นล้านบาท ซึ่งหมายถึงหากรัฐดำเนินการเองจะมีกระแสเงินสดสุทธิมากกว่ากรณีให้เอกชนสูงถึง 4.35 แสนล้านบาท
“เจอแบบนี้ รมว.มหาดไทย (มท.) และ กทม.ก็ไปไม่เป็น ได้แต่ถอนเรื่องออกไปจาก ครม. เพราะสิ่งที่กระทรวงคมนาคมมีการปรับเปลี่ยนข้อโต้แย้งและระบุข้อโต้แย้งใหม่ไปเรื่อย ทำให้คิดได้ว่า เพราะต้องการนำโครงการนี้มาเป็นข้อต่อรองทางการเมือง เพื่อแลกกับการเดินหน้าโครงการรถไฟฟ้า สายสีส้ม และสีม่วงใต้ที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน (รฟม.) กำลังดำเนินการอยู่ และไม่ว่า กทม.จะชี้แจงอย่างไรก็เชื่อว่า เมื่อโครงการดังกล่าวเข้า ครม.ก็คงถูกกระทรวงคมนาคมตั้งแท่นขวางอยู่ดี”
แหล่งข่าว ระดับสูงใน กทม.กล่าวอีกว่าหากทุกฝ่ายจะได้พิจารณาข้อโต้แย้งของกระทรวงคมนาคม ในประเด็นที่ว่าหากจะเจรจาต่อขยายสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้า สายสีเขียวให้ครอบคลุมไปถึงโครงข่ายรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ กทม. ยังไม่ได้เป็นเจ้าของ ควรจ่ายหนี้ค้างให้ รฟม.ให้เรียบร้อยก่อนนั้น ประเด็นดังกล่าวล้วนถูกบรรจุไว้ในข้อสัญญาการต่อขยายสัมปทานใหม่ที่จะมีขึ้นอยู่แล้ว ที่บีทีเอส (BTS) จะต้องชำระหนี้ค้างทั้งหมดแทน กทม. จึงไม่ใช่ประเด็นปัญหา
ส่วนข้อ 2 ที่อ้างว่าหาก กทม.ไม่สามารถบริหารโครงข่ายรถไฟฟ้า สายสีเขียวส่วนต่อขยาย 2 สายได้เอง ควรโอนคืนให้กับรฟม.นั้น ปัญหาที่จะมีตามมาก็คือ จะทำให้เกิดปัญหาคอขวดและการเชื่อมต่อโครงข่ายเพราะหากสิ้นสุดสัมปทานสายหลักในปี 2572และกทม.ต้องเปิดประมูลหาเอกชนเข้ามาเดินรถ หากผู้รับจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวหลักคือกลุ่มบีทีเอสเดิม ในขณะที่ รฟม.นั้นไปว่าจ้างอีกกลุ่มเข้ามาเดินรถ ก็จะเกิดปัญหาในการเชื่อมต่อ เพราะเป็นคนละระบบ สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนและอาจทำให้อัตราค่าโดยสารสูงมากและกลายเป็นความเดือดร้อนของประชาชนผู้ใช้บริการทันที
3.หากจะมีการต่อขยายสัญญาสัมปทาน บริษัทต้องแจ้งความประสงค์ไปยังกทม. ในเวลาไม่น้อยกว่า3 ปี และไม่มากกว่า 5 ปีก่อนวันสิ้นสุดสัญญา และต้องให้หน่วยงานที่กำกับพิจารณาความคุ้มค่าของโครงการร่วมทุนที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งอัตราเงินเฟ้อ และดัชนีผู้บริโภคข้อเสนอดังกล่าวเท่ากับ กระทรวงคมนาคมกำลังจะให้กรมขนส่งทางรางเข้ามากำกับดูแลโครงการและอาศัยเป็นเครื่องมือในการพิจารณาว่าจะให้ใครเป็นเจ้าของโครงการ และหากกรมขนส่งทางรางมีอำนาจขนาดนั้นจริง เหตุใด กรณีเปิดประมูลสัมปทาน รถไฟฟ้า สายสีส้ม ที่กำลังเปิดประมูลโดยรฟม.พยายามนำหลักเกณฑ์การคัดเลือกสุดพิสดารมาใช้ ทำไมกรมขนส่งทางรางจึงไม่สอดมือเข้าไปพิจารณาดูบ้างในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลรถไฟฟ้า
ส่วนข้ออ้างที่ 4 ที่ว่าควรมีการตรวจสอบสัญญาว่าจ้างการเดินรถระหว่าง กทม.และบีทีเอสตั้งแต่ต้นว่าถูกต้องชอบธรรมหรือไม่นั้น ประเด็นการตรวจสอบนั้นทาง กทม.ยืนยันว่าสัมปทานรถไฟฟ้า สายสีเขียว ได้มีการดำเนินการภายใต้ข้อตกลงคุณธรรม Integrity pack มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว หากจะให้เหมาะสมควรตรวจสอบภาระหนี้ก่อสร้างส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า 2 สายที่ รฟม.โยนโครมมาให้ กทม.แบกรับแทนจะเหมาะสมมากกว่า เหตุใด จึงไม่เรียกร้องเอากับ กทม. ทั้งที่เป็นโครงข่ายรถไฟฟ้าที่รัฐจะต้องลงทุนอยู่แล้ว อีกทั้งในส่วนของโครงการรถไฟฟ้าของ รฟม.เองจนป่านนี้ก็ยังไม่มีโครงการใดดำเนินการตามข้อตกลงคุณธรรมด้วยซ้ำ
!!พรุ่งนี้มาว่ากันต่อครับผม(ใน...โลกการค้า)
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี