nn ไม่รู้ว่าบทเรียนจาก...การยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) ที่กลายสภาพจากรัฐวิสาหกิจชั้นดีที่ส่งรายได้
เข้าติดท็อป 10 ทุกปี สู่รัฐวิสาหกิจที่มีสภาพการเงินย่ำแย่...เกิดมาจากการปรับตัวไม่ทันสถานการณ์การแข่งขันหรือเกิดจากความผิดพลาดจากการกำหนดนโยบาย โดยเฉพาะนโยบายด้านภาษี..และด้วยสภาพการณ์ปัจจุบันของ ยสท.จึงเป็นเหตุให้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2565 มีมติอนุมัติวงเงินกู้ จำนวน 1,500 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่อง
ทางการเงินให้กับ ยสท. และให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีที่เคยมอบหมายไว้ตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน 2564 ให้ทบทวนโครงสร้างและอัตราภาษียาสูบทั้งในระยะปานกลางและระยะยาวเพื่อนำไปสู่โครงสร้างแบบอัตราเดียวในอนาคตที่เหมาะสม เป็นธรรม และคำนึงถึงการแข่งขันในตลาด รวมทั้งการดูแลสุขภาพของประชาชน
แม้ว่า ยสท. จะออกมาชี้แจงว่าการกู้เงินดังกล่าวนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงและรองรับกับปัญหาอุปสรรคที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะยาว..แต่ถ้าไม่ “โลกสวย”...ก็ต้องรู้ว่าผลประกอบการของรัฐวิสาหกิจผู้ผูกขาดการผลิตบุหรี่แต่เพียงรายเดียวในประเทศนั้นได้รับผลกระทบจากการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตและการขึ้นอัตราภาษีบุหรี่มาตลอดในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะครั้งล่าสุดเมื่อเดือนตุลาคม 2564 ที่กระทรวงการคลังเสนอคณะรัฐมนตรีขออนุมัติปรับโครงสร้างภาษียาสูบ โดยใช้ 4 ปัจจัย เป็นกรอบพิจารณา ได้แก่ 1)บุหรี่หนีภาษี 2)อุตสาหกรรมยาสูบและชาวไร่ยาสูบ 3)สุขภาพประชาชน และ 4) รายได้รัฐ เพื่อให้นโยบายภาษียาสูบใหม่มีความสมดุลทุกด้าน
จำได้ว่าในช่วงนั้น...ศาสตราจารย์ ดร.อรรถกฤต ปัจฉิมนันท์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์เคยให้คำแนะนำไปว่าอัตราภาษีใหม่ควรเป็นภาษีมูลค่าเป็นอัตราเดียวที่ไม่สูงจนเกินไปเมื่อเทียบกับภาวะเศรษฐกิจ และในระยะยาว โครงสร้างภาษีบุหรี่ควรเปลี่ยนไปเก็บภาษีปริมาณอย่างเดียว และต้องเก็บภาษียาเส้นและภาษีบุหรี่ให้เท่ากัน เพื่อประโยชน์ต่อการควบคุมการบริโภคยาสูบ ตามหลักสากลที่องค์กรระหว่างประเทศ เช่น ธนาคารโลก องค์การอนามัยโลกแนะนำไว้ และเป็นไปตามตัวอย่างที่ดีในประเทศอังกฤษ ออสเตรีย และนิวซีเเลนด์ ใช้ปฏิบัติอยู่…แต่ผลที่ออกมาคือ โครงสร้างภาษีตามมูลค่ายังคงเป็นแบบ 2 อัตราที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2560 ไว้ อีกทั้งยังมีการปรับขึ้นภาษียาสูบในอัตราที่ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับกำลังซื้อที่อ่อนตัวลงจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด
จนถึงวันนี้...วันที่การบังคับใช้ภาษีบุหรี่ใหม่ผ่านไปเกือบ 1 ปีแล้ว... ดร.อรรถกฤต จึงได้วิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่กรมสรรพสามิตคาดไว้ พบว่า ภาระภาษีของบุหรี่ส่วนใหญ่ในตลาดเพิ่มขึ้นซองละ 8-9 บาท ขณะที่กรมสรรพสามิตคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นซองละ 3-7 บาทเท่านั้นทำให้ราคาบุหรี่ขายดีที่สุดของ ยสท. ปรับขึ้น 10% จากเดิมซองละ 60 บาท เป็นซองละ 66 บาท ในขณะที่บุหรี่คู่แข่งของ ยสท. ส่วนใหญ่ปรับราคาเพิ่มขึ้น 17-20% จากเดิมซองละ 60 บาท เป็นซองละ 70-72 บาท ราคาบุหรี่ส่วนใหญ่ในตลาดที่ปรับขึ้นกว่า 10-20% ในขณะที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพียง 1% ในช่วงปี 2560-2564 ทำให้ยอดขายบุหรี่ผิดกฎหมายเพิ่มขึ้นจาก 6% เป็น 10% ของปริมาณการบริโภคบุหรี่ทั้งหมด (อ้างอิงข้อมูลการสำรวจบุหรี่เถื่อนจากข่าวสื่อมวลชน) และส่งผลให้ยอดขายของตลาดบุหรี่ไทยลดลงไป 9% หลังจากการปรับภาษีลดลงเยอะกว่าที่กรมสรรพสามิตประมาณการไว้ที่ 2-3% รายได้ภาษีสรรพสามิตยาสูบในช่วง 10 เดือนของปีงบประมาณ 2565 หรือ 10 เดือนหลังจากที่มีการขึ้นภาษี ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว 4.3 พันล้านบาท หรือลดลง 8% สวนทางกับที่กรมสรรพสามิตประมาณการณ์ว่า การปรับขึ้นภาษีครั้งนั้นจะช่วยเพิ่มรายได้ขึ้น 3.5-4.5 ล้านบาทต่อปีเท่ากับว่าประมาณการพลาดเป้าไป 8-9 พันล้านบาท
ที่ต้องขีดเส้นใต้ให้เห็นชัดๆ คือ ยสท. มีผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2565 ขาดทุนกว่า 35 ล้านบาท เทียบกับที่เคยกำไร 452 ล้านบาท ในช่วงเวลาเดียวกัน และมีรายได้ลดลงจาก 2.2 หมื่นล้านบาท เหลือเพียง 1.8 หมื่นล้านบาท หรือลดลง 21% จากปีที่แล้ว นอกจากนี้การที่ ยสท.พยายามกดราคาบุหรี่ขายดีให้ต่ำที่สุดเพื่อแย่งส่วนแบ่งตลาดจากผู้นำเข้าคืนยิ่งกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของ ยสท. อีกด้วย โดยจากเดิมที่มีภาระภาษีคิดเป็น 79% ของราคาขายปลีก ปัจจุบันภาระภาษีเพิ่มขึ้นเป็น 81% ของราคาขายปลีก และถือเป็นภาระภาษีที่สูงมาก(อันดับที่ 11 ของโลก) จนนำมาซึ่งผลขาดทุนบักโกรกอย่างนี้
คงไม่ผิดถ้าจะบอกว่า...นโยบายภาษียาสูบที่ถูกนำมาใช้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2564 อาจไม่ตอบโจทย์ที่กรมสรรพสามิตตั้งไว้เลย โดยเฉพาะในเรื่องของผลกระทบต่อผลการดำเนินของยสท. ที่ส่งผลกระทบไปถึงยังรายได้ของเกษตรกรยาสูบทั่วประเทศด้วย ทั้งๆ ที่รายได้รัฐที่ได้จากอุตสาหกรรมยาสูบในทุกรูปแบบไม่ได้เพิ่มขึ้นในขณะที่การควบคุมการบริโภคยาสูบในภาพรวมก็มีความท้าทายในด้านสินค้าทดแทนราคาถูกที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง การตัดสินใจคงโครงสร้างภาษีบุหรี่มูลค่า 2 อัตราไว้เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมยาสูบ ในขณะที่ใช้การปรับขึ้นภาระภาษีในอัตราสูงก็เพื่อลดการบริโภคยาสูบ เป็นแนวคิดที่กรมสรรพสามิตใช้มาตั้งแต่ปี 2560 แต่การกระทำทั้งสองอย่างข้างต้นเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันเอง ทั้งนี้ หากรัฐจะพิจารณาลดภาษีเพื่อลดผลกระทบให้กับรัฐวิสาหกิจและชาวไร่ยาสูบก็คงจะไม่เหมาะสมนักเพราะราคาบุหรี่ที่ลดลงจะไปขัดกับหลักสุขภาพของประชาชนได้
ดังนั้นทางออกง่ายๆ คือ การรวมภาษีเป็นอัตราเดียวที่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ เพื่อให้ประเทศไทยมีโครงสร้างภาษีที่มีประสิทธิภาพเหมือนตัวอย่างที่ดีในต่างประเทศนอกจากนี้ การรวมภาษีเป็นอัตราเดียวจะดีต่อการดำเนินงานของ ยสท. โดยจะช่วยลดการแข่งขันด้านราคาที่เกิดจากการกระจุกตัวของเกือบทั้งตลาดที่ราคา 66-72 บาทต่อซอง และยังช่วยลดภาระภาษีที่สูงจนเกินไปได้ โดย ยสท. สามารถกำหนดราคาบุหรี่บางยี่ห้อให้มีภาระภาษีไม่สูงมากจนเกินไป จนสามารถมีกำไรพอเลี้ยงตัวเองและช่วยเหลือชาวไร่ยาสูบในสังกัดได้อย่างยั่งยืน เช่น ช่วยให้บุหรี่กลุ่มราคาแพงที่มีสัดส่วนเพียง 5% ของตลาดมีภาระภาษีลดลง และยสท. มีกำไรจากการขายต่อซองเพิ่มขึ้น เป็นต้น
ถึงตรงนี้...ก็คงต้องขึ้นกับกรมสรรพสามิตและกระทรวงการคลังว่าจะเลือกกำหนดนโยบายภาษียาสูบในอนาคตอย่างไร หากยังคงเลือกใช้แนวคิดที่ล้าสมัย โดยใช้โครงสร้างภาษีมาปกป้องผู้ประกอบการในประเทศ และขึ้นอัตราภาษีที่สูงกว่ากำลังซื้อหลายเท่าตัว ที่ได้ทำมาตลอดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาต่อไปนอกจากจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้แล้วยังจะก่อให้ผลกระทบในทางลบแบบที่ผู้กำหนดนโยบายคาดไม่ถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อไป
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี