nn รัฐบาลโชว์ตัวเลขการอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 (มกราคม-มิถุนายน 2565) ว่ามีโครงการที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) จำนวน 750 โครงการ มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 375,670 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 คาดว่าจะมีโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง....
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินนักวิชาการหลายสำนักเคยตั้งคำถามว่า...ประเทศไทยจะยังเป็นแหล่งลงทุนที่น่าสนใจของต่างชาติอยู่อีกหรือไม่...และประเทศเวียดนามใช่ไหมที่กำลังจะเป็นแหล่งลงทุนใหม่ที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจ และย้ายฐานการผลิตจากไทยจากจีนไปที่นั่น...
ถ้าตั้งคำถามว่าแล้วทำไมนักลงทุนจึงแห่เข้าไปลงทุนเวียดนาม...คำตอบแรก...ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของเวียดนาม ขยายตัวได้ที่ 6.42% และตัวเลขเฉพาะไตรมาส 2 เศรษฐกิจเวียดนามขยายตัวได้ถึง 7.72% เป็นอัตราการขยายตัวที่เร็วที่สุดในรอบเกือบ 10 ปี และสูงสุดในภูมิภาค แน่นอนว่าอัตราการขยายเร็วและแรงขนาดนี้ย่อมดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติได้ดีเลยทีเดียว
ตัวเลขจากกระทรวงวางแผนและการลงทุนของเวียดนาม ระบุว่าสถิติการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2022 มียอดลงทะเบียนขอลงทุน (FDI Registration) สูงถึง 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่ยอดการลงทุนจริง (FDI Disbursement) อยู่ที่ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยปัจจุบันมีบริษัทต่างชาติจาก 84 ประเทศทั่วโลกเข้ามาลงทุนในเวียดนาม โดย 5 ประเทศที่มีการลงทุนมากที่สุดในเวียดนามในช่วง 6 เดือนแรกของปี คือ สิงคโปร์ด้วยมูลค่าการลงทุน 4.1 พันล้านดอลลาร์รองลงมาเป็นเกาหลีใต้ที่ 2.6 พันล้านดอลลาร์ เดนมาร์ก 1.3 พันล้านดอลลาร์ ตามมาด้วยจีน ญี่ปุ่น และฮ่องกง
ถ้าไม่โลกสวยหรือชาตินิยมสุดโต่ง..ก็ต้องยอมรับว่าเวียดนามมีปัจจัยหนุนหลายอย่างที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติขนาดใหญ่เลือกที่จะใช้เวียดนามเป็นฐานการผลิต...1.เศรษฐกิจและการเมือง ของเวียดนามมีเสถียรภาพค่อนข้างสูง ด้านการเมืองแม้ว่ารัฐบาลจะปกครองด้วยระบบคอมมิวนิสต์แต่ก็มีการปฏิรูปเศรษฐกิจมาอย่างต่อเนื่อง จนสามารถเปลี่ยนจากการเป็นประเทศยากจนไปสู่ประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลางได้สำเร็จ 2.โครงสร้างประชากร ก็ต้องบอกว่าเวียดนามมีประชากรถึง 98 ล้านคน และมีอายุเฉลี่ยเพียง 32 ปี ซึ่งเป็นวัยแรงงาน วัยแรงงานเริ่มออกจากภาคเกษตรและเข้าสู่ภาคบริการและภาคอุตสาหกรรมมากขึ้นจึงทำให้รายได้แรงงานเติบโตขึ้นปีละ 8-9% ต่อปี หนุนการบริโภคในประเทศเติบโตสูงมาก 3.ต้นทุนค่าแรงที่ยังถูกมากเมื่อเทียบกับไทย ทำให้บริษัทข้ามชาติเพิ่มการลงทุนหรือย้ายฐานการผลิตมาเวียดนาม เพื่อใช้ประโยชน์จากค่าแรงที่ยังไม่แพง 4.แรงหนุนจากข้อตกลงทางการค้าที่เวียดนามทำไว้กับนานาประเทศ ทำให้ปัจจุบันผู้ผลิตรายใหญ่ระดับโลกหลายแบรนด์ล้วนมีฐานการผลิตในเวียดนาม เพื่อใช้สิทธิประโยชน์จากข้อตกลงการค้าที่เวียดนามมี
หันกลับมามองที่ประเทศไทยบ้าง... 1.เศรษฐกิจไทยเติบโตในอัตราที่ต่ำต่อเนื่องมาหลายปี 2.เข้าสู่สังคมสูงอายุเต็มตัวแล้ว ทำให้แรงงานของประเทศลดลง ทำให้ขนาดของตลาดในประเทศลดลงด้วยเช่นกัน 3.โครงสร้างการผลิตสินค้าของไทยยังมีสัดส่วนของสินค้า High-Tech ที่ต่ำเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง และรัฐบาลยังไม่มีแผนการลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ชัดเจน 4.ค่าแรงที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้ปรับขึ้นมานานหลายปี แต่อัตรานี้ก็ยังสูงกว่าเวียดนามอยู่ดี 5.โครงสร้างเศรษฐกิจ ของไทยยังมีปัญหา เช่น การผูกขาดของตลาดสินค้าในประเทศ ภาษีการค้าระหว่างประเทศที่ยังสูง 6.ปัญหาเรื่องกฎเกณฑ์และข้อระเบียบต่างๆที่ยุ่งยากซับซ้อน 7.ปัญหาคอร์รัปชั่น ซึ่งดูเหมือนจะเลวร้ายลงทุกวัน
ต้องยอมรับความจริงว่าในอดีต (ย้อนไปถึงที่ไทยประกาศจะเป็นเสือเศรษฐกิจตัวที่ 5 ของเอเชีย) ไทยเคยผิดพลาด ตรงที่ดึงต่างชาติเข้ามาด้วยการขายจุดเด่นเรื่องแรงงานราคาถูกเพียงอย่างเดียว แต่ไม่มีการถ่ายทอดเทคโนโลยี ทุกวันนี้ไทยจึงแทบจะไม่มีเทคโนโลยีของตัวเองเลย นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ไทยติดกับดักรายได้ปานกลาง หลายคนอาจจะมองว่าเวียดนามในตอนนี้อาจจะเป็นแบบไทยในอดีตก็ได้...แต่อยากจะบอกอย่างนี้ว่า...หมุนตามทุน...ไปทำข่าวที่เวียดนามในโอกาสที่องค์กรธุรกิจของไทยที่ไปลงทุนที่เวียดนามเชิญไปก็หลายครั้ง...มีโอกาสได้คุยกับส่วนราชการและเอกชนของเวียดนามบ้าง...เขาบอกว่าเขาศึกษาข้อผิดพลาดในอดีตของไทยอย่างละเอียด และวางแผนปฏิบัติในการกำจัดจุดอ่อนเหล่านั้นไว้หมดแล้ว...nn
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี