การควบรวมกิจการ ทรู-ดีแทคเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจในสังคม เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัวเนื่องจากปัจจุบันแทบทุกคนจะมีโทรศัพท์มือถือใช้ทั้งในเรื่องส่วนตัวและเรื่องงาน
ประชาชนซึ่งเป็นผู้บริโภคบางส่วน อาจมีความรู้สึกกังวล เพราะเกรงว่าจะมีผลกระทบต่อการใช้งาน และค่าบริการ ทั้งที่มีองค์กรอิสระ คือ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) เป็นผู้กำกับดูแลเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรง
กฎหมายที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้มีประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเรื่อง มาตรการกำกับดูแลการควบรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2561 ซึ่งออกใช้บังคับตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553และที่แก้ไขเพิ่มเติม
การควบรวมกิจการตามประกาศ กสทช. พ.ศ. 2561 เป็นการที่ 2 บริษัทควบรวมกันและเกิดเป็นบริษัทใหม่ (A+B=C) ซึ่งเป็นกรณีที่เรียกว่า Amalgamation ตัวอย่าง เช่น เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีการควบรวม TOT และ CAT เป็น NT หรือ บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน)
ในประเด็นความเห็นทางกฎหมาย รายงานวิจัยของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศที่ กสทช. ได้มอบหมายให้ศึกษาวิจัยในเรื่องนี้ และข้อสรุปของคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้ความเห็นและให้คำปรึกษาทางกฎหมายแก่รัฐบาลและหน่วยงานทางราชการ ที่ได้ทำความเห็น สืบเนื่องจากข้อหารือของ กสทช. ที่ได้สอบถามความเห็นทางกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้
ทั้งสองหน่วยงานมีบทสรุปที่สอดคล้องกันว่า กสทช. ต้องพิจารณาตามประกาศของ กสทช. พ.ศ. 2561 ซึ่ง กสทช. ไม่มีอำนาจอนุญาต
หรือไม่อนุญาตการควบรวม ทรู-ดีแทค แต่มีอำนาจในการกำหนดมาตรการบังคับใช้ เพื่อป้องกันความเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะ
การควบรวม ทรู-ดีแทค จึงอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ กสทช. ที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามที่กฎหมายบัญญัติ
ประเด็นที่สำคัญ คือ คณะกรรมการ กสทช.ถือเป็น เจ้าพนักงานของรัฐ ซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ จึงถูกควบคุมโดยกฎหมายนี้ ตามมาตรา 172
“มาตรา 172 เจ้าพนักงานของรัฐผู้ใดปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ อย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวังโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะดำเนินการไต่สวนเพื่อชี้มูลความผิด และส่งเรื่องให้ อัยการฟ้องคดี
นอกจากนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ยังได้กำหนดความผิดไว้
“มาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวังโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
ความรับผิดทางกฎหมายดังกล่าว ยังครอบคลุมถึงผู้สนับสนุน ซึ่งอาจหมายถึงอนุกรรมการต่างๆภายใน กสทช. ที่ส่งเสริมและสนับสนุนให้กสทช. ใช้อำนาจบังคับในสิ่งที่ตนเองไม่มีจนเกิดความเสียหายขึ้น
ภายในระยะเวลาอันใกล้ เราจะได้เห็นการพิจารณาตัดสินใจของ กสทช. ว่า จะเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติหรือไม่ ซึ่งมีทั้งความรับผิดและโทษตามกฎหมาย และอาจมีความเสียหายที่มีมูลค่ามหาศาลเข้ามาเกี่ยวข้อง
คณะกรรมการ กสทช. จึงต้องพิจารณาและดำเนินการด้วยความระมัดระวัง และรอบคอบ ให้เป็นไปตามกรอบที่กฎหมายบัญญัติไว้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี