ll จากกรณีที่ตามที่กระทรวงพาณิชย์แจ้งผลการไต่สวนเพื่อทบทวนความจำเป็นในการบังคับใช้ต่อของมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Antidumping : AD) สำหรับสินค้าเหล็กล่าสุดโดยคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดฯ ซึ่งมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน ปรากฏว่าในการพิจารณาโดยใช้เพียงวันเดียวของคณะกรรมการ ได้มีมติให้ยุติการตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็ก 3 มาตรการรวด โดยเป็นสินค้าเหล็กจาก 6 ประเทศทุ่มตลาดรายใหญ่ของโลก ได้แก่ จีน เวียดนาม ตุรกี บราซิล อิหร่าน และมาเลเซีย นับเป็นการมีมติยุติมาตรการ AD รวดเดียวมากสุดเป็นประวัติการณ์นับแต่ประเทศไทยเริ่มมีการใช้มาตรการตอบโต้สินค้าทุ่มตลาด ตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา
แน่นอนว่าจากสิ่งที่เกิดขึ้นแบบที่ไม่เกิดมาก่อนแบบนี้ย่อมสร้างความสงสัย และข้อวิตกกังวลของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศอย่างมาก และตามมาด้วยการตั้งข้อกังขาในหลักคิดของกระทรวงพาณิชย์หนึ่งในนั้นคือนางสาวกรรณิการ์ ยมจินดา นายกสมาคมเหล็กแผ่นรีดร้อนไทย ที่กล่าวว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2566 ผู้ผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนในประเทศได้รับเอกสารรายละเอียดข้อมูลและข้อเท็จจริงที่ใช้เป็นพื้นฐานในการพิจารณาร่างผลการทบทวนความจำเป็นในการใช้บังคับอากรตอบโต้การทุ่มตลาดต่อไป กรณีสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนจากประเทศจีน และมาเลเซีย ซึ่งปรากฏว่าคณะกรรมการฯ มีผลการพิจารณาให้ยุติมาตรการเช่นเดียวกันกับกรณีบราซิล อิหร่าน และตุรกี โดยเหตุผลที่ใช้ในการพิจารณาให้ยุติมาตรการเป็นสิ่งที่น่ากังขาเป็นอย่างมาก เนื่องจากขัดแย้งกับหลักการพิจารณาทบทวนฯ ในอดีตเมื่อปี 2560 ในทุกประเด็น เช่น การพิจารณาครั้งนี้ใช้เหตุผลเรื่องการนำเข้าสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนจากจีน และมาเลเซียของไทยรวมถึงการส่งออกของจีน และมาเลเซียมายังประเทศไทยลดลง มาเป็นเหตุผลหลักในการพิจารณายุติมาตรการ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องปกติในช่วงการใช้มาตรการ แต่ในทางกลับกัน ปริมาณการผลิตส่วนเหลือที่มีอยู่เยอะมากของประเทศจีน (ปัจจุบันมีกำลังการผลิตส่วนเกินกว่า 170 ล้านตัน) ที่เคยใช้ในการพิจารณาต่ออายุมาตรการในปี 2560 ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการส่งออกกลับไม่มีการนำมาพิจารณาในการไต่สวนครั้งนี้
นอกจากนี้การนำเพียงผลประกอบการ หรือความเสียหายมาพิจารณายุติมาตรการทั้งๆ ที่กรมการค้าต่างประเทศได้เคยชี้แจงเมื่อปี 2560 ว่าการต่ออายุมาตรการ AD ตามมาตรา 57 แห่ง พ.ร.บ.ตอบโต้การทุ่มตลาดฯ โดยพิจารณาถึงแนวโน้มว่าจะมีการทุ่มตลาด และความเสียหายฟื้นคืนมานั้นไม่จำเป็นต้องมีการทุ่มตลาด และความเสียหายในปัจจุบัน ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติสากลที่ใช้กันทั่วโลกซึ่งหากกรมการค้าต่างประเทศ และคณะกรรมการฯ ยังคงนำหลักการนี้มาใช้ในการพิจารณาทบทวนฯ เท่ากับว่าต่อไปในอนาคตคงแทบจะไม่มีมาตรการใดได้ต่ออายุมาตรการอย่างแน่นอน เพราะหากใช้มาตรการแล้วปริมาณนำเข้ายังสูงเช่นเดิม หรือเพิ่มมากขึ้นแสดงให้เห็นถึงมาตรการไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งในกรณีแบบนี้ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนอยู่แล้ว
ด้านนายณรงค์ฤทธิ์ โชตินุชิตตระกูล นายกสมาคมเหล็กแผ่นรีดเย็นไทย ระบุว่า ผู้ผลิตสินค้าเหล็กแผ่นรีดเย็นก็มีความกังวลถึงแนวทางในการพิจารณาทบทวนการบังคับใช้มาตรการ AD ของกรมการค้าต่างประเทศ และคณะกรรมการฯ เช่นกัน เนื่องจากประเทศไทยมีการบังคับใช้มาตรการ AD สินค้าเหล็กแผ่นรีดเย็นจากประเทศจีน เวียดนาม และไต้หวัน ซึ่งในช่วงระยะเวลาที่มีการบังคับใช้มาตรการ AD ปริมาณนำเข้าสินค้าที่ถูกพิจารณาก็มีปริมาณการนำเข้าที่ลดลง และในการต่ออายุมาตรการในปี 2562 ปริมาณนำเข้าก็มีปริมาณลดลงเช่นกันรวมถึงมีผลการดำเนินการที่ดีขึ้นหลายปัจจัยซึ่งเป็นผลมาจากการบังคับใช้มาตรการที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งประเด็นดังกล่าวไม่ได้มีผลในการยุติการบังคับใช้มาตรการแต่อย่างใด เนื่องจากกรมการค้าต่างประเทศ และคณะกรรมการฯ ในขณะนั้น เน้นที่การพิจารณาเรื่องแนวโน้มความเสียหายที่จะฟื้นคืนมาจากการที่ประเทศจีน เวียดนาม และไต้หวัน ยังคงมีอัตราการทุ่มตลาดที่สูง ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย
“หากหลักการพิจารณามีการเปลี่ยนแปลงดังเช่นกรณีของสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อน และเหล็กแผ่นรีดเย็นชุบหรือเคลือบด้วยโลหะเจือของอะลูมิเนียมและสังกะสีแบบจุ่มร้อน ตามที่ได้มีร่างผลการทบทวนฯ ออกมาแล้ว ผู้ผลิตสินค้าเหล็กแผ่นรีดเย็นในประเทศมีความกังวลว่าอาจจะถูกยุติมาตรการในอนาคตเช่นกัน ดังนั้นสมาคมฯ ขอให้กรมการค้าต่างประเทศกลับไปใช้แนวทางในการพิจารณาทบทวนความจำเป็นในการใช้มาตรการฯ ดังเช่นในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย และสอดคล้องกับแนวทางการพิจารณาที่เป็นสากลทั่วโลก”
นอกจากนี้ยังมีผู้ผลิตเหล็กในประเทศอีกหลายรายที่ สังเกตเห็นข้อพิรุธในความเร่งรีบในการดำเนินการการพิจารณาเร็วกว่าปกติต่างจากการทำงานปกติของกรมการค้าต่างประเทศ และ คกก. เปรียบเทียบการพิจารณาต่ออายุ AD HR จากจีน มาเลเซีย ปี 2560 การไต่สวนครบอายุ มิ.ย. 2560 คกก.พิจารณายืนยันร่างผลชั้นที่สุด พ.ค. 2560 พูดง่ายๆ คือ รอจนกว่าใกล้จะครบอายุของการพิจารณามาตรการแต่รอบนี้ กรมการค้าต่างประเทศ และ คกก. ADHR จีน มาเลเซีย เร่งพิจารณาเพื่อยุติมาตรการ เมื่อ 23 ม.ค. เร็วกว่าปกติเกือบ6 เดือน เพราะก่อนการเก็บหลักประกันอากรชั่วคราวจะสิ้นสุดลงในเดือน ก.ค. 2566นอกจากเร่งรีบจนน่าสังเกตแล้ว ผู้ประกอบการก็ยังสงสัยอยู่ว่า คกก. ประชุมตั้งแต่ 23 ม.ค. แต่ทำไมกลับปิดเงียบอยู่ และใช้เวลาอีกถึง 42 วัน เพิ่งแจ้งผู้เสียหายจากการไม่ต่ออายุAD HR จากจีน มาเลเซีย ทราบในวันที่ 7 มี.ค.
ที่สำคัญคือการพิจารณาของ คกก. AD ที่ผิดแผกไปจากแนวปฏิบัติที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการละเลยไม่พิจารณาแนวโน้มความเสียหาย หรือเปลี่ยนหลักพิจารณาแนวโน้มความเสียหายที่ผิดแผกไปจากการพิจารณาก่อนหน้าที่ผ่านมา จากการวิเคราะห์ข้อมูลที่ขัดแย้งกันเองระหว่างกรณี AD บราซิล อิหร่าน ตุรกี และกรณีจีน มาเลเซีย ก็ยิ่งพาให้สงสัยยกตัวอย่างเช่น กรณี บราซิล อิหร่าน ตุรกี บอกว่าอาเซียนไม่ใช่เป้าหมาย จึงเป็นเหตุให้ไม่มีแนวโน้มจะเกิดการทุ่มตลาด และความเสียหาย แต่กรณี จีน มาเลเซีย ประเทศอาเซียนเป็นเป้าหมายหลักในการส่งออกกว่า 1.5 ล้านตันสัดส่วนการส่งออกถึงกว่า 30% กลับไม่มีการพูดถึง หรือกรณี AD 3 ประเทศบอกไม่มีประเทศอาเซียนใช้มาตรการ แต่พอเป็นกรณี จีนมาเลเซียมีอินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศในอาเซียนใช้มาตรการก็บอกว่ามีแค่ประเทศเดียว เป็นต้น
นอกจากความเสียหายต่ออุตสาหกรรมเหล็กในประเทศแล้ว...การนี้ก็ยังทำให้ประเทศชาติเสียหาย ด้วย เพราะต้องคืนหลักประกันอากรน่าจะหลายร้อยล้านบาทแก่ผู้นำเข้า ทำให้ผู้นำเข้าเหล็กทุ่มตลาดได้ประโยชน์เต็มๆ เพราะได้คืนหลักประกันอากร แถมหลังจากเลิกมาตรการก่อนครบอายุ ก.ค. 2566 ทำให้จะสามารถนำเข้าเหล็กทุ่มตลาดได้เสรี ไม่ต้องจ่ายอากรตอบโต้การทุ่มตลาดให้ประเทศชาติอีกด้วย จากข้อมูลของวงการเหล็กไทย พบว่าตั้งแต่ ก.ค.-ธ.ค. 2565 มีสินค้าเข้าข่ายการเสีย AD(พิจารณาตามพิกัดอัตราศุลกากร) กว่า 19,800 ตันเป็นมูลค่ากว่า 554 ล้านบาท ประเมินเป็นอากร ADอัตรา 30.91% คิดเป็นหลักประกันอากรกว่า 171 ล้านบาท ที่รัฐต้องเสียไป
ย้ำอีกครั้งว่าการยุติใช้มาตรการ AD อาจเป็นจุดเริ่มต้นให้อุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศไทยต้องปิดกิจการลง ขณะนี้อุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศไทยซึ่งเผชิญปัญหาสินค้าเหล็กทุ่มตลาดมาตลอด ปัจจุบันมีอัตราการใช้กำลังการผลิตเพียง 33% เท่านั้น หากรัฐบาลไทยยุติมาตรการ AD ซึ่งเป็นมาตรการที่ช่วยให้เกิดการค้าที่เป็นธรรม การใช้กำลังการผลิตของอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศไทยต้องลดน้อยลงไปอีกอย่างแน่นอน จนในที่สุดก็จะไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ เนื่องจากไม่คุ้มกับต้นทุนการผลิตและจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อห่วงโซ่การผลิตของหลายๆ อุตสาหกรรมในประเทศ และว่าวันหนึ่งไม่มีผู้ผลิตในประเทศแล้ว อุตสาหกรรมต่อเนื่องในประเทศก็จะไม่มีอะไรมาคานอำนาจการต่อรองกับประเทศผู้ผลิตเหล็กต่างประเทศได้เลยทั้งในด้านราคา และการส่งมอบสินค้า
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี