บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) วิเคราะห์หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ หรือ Bank Sector นอกจากจะขยายสินเชื่ออย่างระมัดระวังแล้ว ทุกธนาคาร (ยกเว้น KBANK) ยังเพิ่มสถานะการลงทุนในตราสารหนี้ +3.5% MoM, +3.2% YTD, +1% YoY สถานะของ SCB เพิ่มมากที่สุดที่ +8% MoM -1.3% YTD รองลงมาคือ KTB +6% MoM -6% YTD และ BBL +3% MoM +16% YTD ท่ามกลางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มอย่างมาก (พันธบัตรอายุ 10 ปี +50bps QTD) การเพิ่มสถานะการลงทุนในตราสารหนี้จะเพิ่มแรงกดดันด้านลบต่อผลขาดทุน FVTPL จากการลงทุนที่จะถูกบันทึกใน 3Q66F

หลังจากที่สินเชื่อขยายตัวลดลงในเดือนมิถุนายน 2566 ธนาคารบางแห่งหันมาขยายสินเชื่อเพิ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม 2566 โดยเฉพาะ BBL และ KTB ทั้งนี้ สินเชื่อของ SCB ขยายตัว +0.5% MoM and +2% YTD แต่ของ KBANK ยังคงลดลง -1% MoM และ -3% YTD การที่สินเชื่อของ BBL/KTB ขยายตัวแข็งแกร่งที่เกือบ 2% MoM น่าจะสะท้อนว่ามีการขยายสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่และรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้นขณะเดียวกันสินเชื่อ TISCO ยังขยายตัวสม่ำเสมอที่ +0.8% MoM และ +7% YTD ส่วน TTB ขยายตัวเล็กน้อยที่ +0.3% MoM และ -1% YTD ขณะที่สินเชื่อ KKP ยังอยู่ในโหมดหดตัว

นอกจากจะเพิ่มการลงทุนในตราสารหนี้ธนาคารยังลดการปล่อยกู้ในตลาดเงินไปลงทุนด้านอื่นแทน แม้ว่าเงินฝากจะไม่เพิ่มขึ้น สรุปแล้ว การปล่อยกู้ในตลาดเงินลดลงถึง -8% MoM และ -10% YTD โดยเฉพาะ KTB, BBL และ TTB

ความผันผวนในตลาดพันธบัตร และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้นมากทำให้เราเป็นห่วงผลประกอบการ 3Q66 ของกลุ่มธนาคารในแง่ของการบันทึกกำไร FVTPL ลดลงในงบกำไรขาดทุน ซึ่งในงวด 1H66 มีการบันทึกกำไร FVTPL ก้อนใหญ่ คิดเป็น 17% ของกำไรสุทธิ โดยเฉพาะ KBANK คิดเป็นสัดส่วนถึง 26% และของ SCB ที่ 21% เพราะธนาคารส่วนใหญ่นำกำไรส่วนเกินจาก FVTPL มาตั้ง credit cost เพิ่ม เราจึงเป็นห่วงว่ากำไร FVTPL ที่ลดลงจะทำให้ธนาคารต่างๆ ความสามารถในการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ลดลง อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก BBL มีส่วนรองรับหนี้เสียอยู่ในระดับสูง ถึงแม้กำไร FVTPL ลดลงก็ไม่น่าจะกระทบกับแนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคาร

ปัจจัยเสี่ยง NPLs เพิ่มขึ้น และตั้งสำรองเพิ่มขึ้น, รายได้ค่าธรรมเนียมลดลง, ผลขาดทุน FVTPL จากการลงทุน

ที่มา : บล.เคจีไอ (ประเทศไทย)