nn กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) ได้เผยแพร่ผลการติดตามและประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยของ IMF (Article IV Consultation) ประจำปี 2566..ซึ่งโดยรวม IMF มีมุมมองที่สอดคล้องกับทางการไทยต่อแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัว แม้ว่าจะชะลอลงบ้าง จากการดำเนินนโยบายการเงินเข้มงวดของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก การปรับเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน โดย IMF คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2566 จะขยายตัวที่ประมาณ 2.5% และคาดว่าในปี 2567 จะเร่งขึ้นเป็น 4.4% (กรณีรวมผลมาตรการ Digital Wallet) จากการพื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและการบริโภคภายในประเทศที่เติบโตต่อเนื่อง สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไป IMF คาดว่าจะอยู่ที่ 1.3% ในปี 2566 และ 1.7% ในปี 2567 ซึ่งอยู่ในกรอบเป้าหมายของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
นอกจากนี้ IMF ยังเห็นว่านโยบายการเงินในปัจจุบันมีความเหมาะสม และควรติดตามความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินอย่างใกล้ชิด ซึ่งสอดคล้องกับกรอบการดำเนินนโยบายการเงินของ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่มีเป้าหมายเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและเต็มศักยภาพ และระบบการเงินมีเสถียรภาพ สำหรับภาคการเงิน IMF สนับสนุนแผนของ ธปท. ในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ผ่านการออกเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) และการดูแลหนี้เรื้อรัง (persistent debt)
ทั้งนี้ IMF แนะนำให้ทางการไทยให้ความสำคัญกับการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการลดทอนผลกระทบจากการแบ่งขั้วทางภูมิเศรษฐศาสตร์ (geo-economic fragmentation) รวมทั้งสนับสนุนการเพิ่มผลิตภาพ (productivity) โดยเฉพาะการเพิ่มพูนทักษะแรงงาน การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆ ตลอดจนการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและปรับกฎเกณฑ์ทางธุรกิจให้เหมาะสม เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ตามศักยภาพ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าข้อเสนอแนะของ IMF ดูเหมือนจะสอดคล้องกับสิ่งที่ นายสันติธาร เสถียรไทย กรรมการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจแห่งอนาคต สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ที่ได้กล่าวไว้เมื่อ 2 วัน ก่อนในงานสัมมนาของกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร KKP YEAR AHEAD 2024 โดยเสวนาหัวข้อพิเศษ เศรษฐกิจไทย..เปลี่ยนอย่างไรให้ไปไกลกว่าเดิม ว่า หากเปรียบประเทศไทยเป็นนักกีฬาสูงวัยเพราะทั้งอายุเฉลี่ย 41 ปี เทียบกับประเทศอื่นในอาเซียนอยู่ที่ 30 ปีต้นๆ หรือต่ำกว่านั้น
นายสันติธารกล่าวว่า และที่สำคัญคืออาการที่ทำให้เป็นนักกีฬาสูงวัย 1.เศรษฐกิจวิ่งช้าลง จากการขยายตัวของเศรษฐกิจ (จีดีพี) ระยะยาวที่เคยสูงถึง 7% และทยอยลดลงจาก 5% และลดเหลือ 3% 2.ความสามารถในการแข่งขัน เพื่อดึงดูดนักลงทุนน้อยลง เพราะประชากรของไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยแนวโน้มการลงทุนจึงน้อยลง และ 3.หากมีการกระตุ้นเศรษฐกิจหนักๆ อาจพบปัญหา เมื่อช่วงที่เศรษฐกิจโตดีจะเห็นปัญหาหนี้ครัวเรือน แต่ด้วยศักยภาพของประเทศไทย จึงยังไม่มีแนวโน้มเหมือนกับประเทศศรีลังกา และเวเนซุเอลา เพราะเสถียรภาพเศรษฐกิจค่อนข้างดี สถาบันการเงินมีเงินทุนมากพอรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และปัญหาจะไม่เกิดเหมือนวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ดังนั้น ปัญหาของไทยขณะนี้ไม่ใช่เศรษฐกิจกำลังล้มลง แต่เศรษฐกิจขยายตัวไม่ทัน เมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังมีความหวังและโอกาส และวิธีที่มองว่าจะทำให้ไทยมีจุดเปลี่ยนแบ่งเป็น ก. ข. ค. โดยเริ่มจาก ข. คือการขยายขนาดตลาด เพราะยุคปัจจุบันมีปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ การลงทุนของนักลงทุนต่างๆ พยายามลดความเสี่ยงจากการออกจากหลายประเทศ และลงทุนในอาเซียนมากขึ้น เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย ขณะที่ไทยยังได้สัดส่วนการลงทุนน้อยกว่าที่อื่น เพราะขนาดตลาดเล็กกว่าประเทศอื่น
นายสันติธารกล่าวอีกว่า จึงย้อนกลับมาที่ ก. คือการแก้กฎกติกาการลงทุนที่เป็นปัญหาการทำธุรกิจให้ง่ายขึ้น ซึ่งรัฐบาลพยายามผลักดันอยู่แล้วจากการศึกษาหากมีการทำกิโยตินกฎหมายส่วนหนึ่งสำเร็จในไทยจะเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ปีละ 1 แสนล้านบาท ขณะที่ ค. มี 2 ส่วน คือ 1.การปรับโครงสร้างพื้นฐานการลงทุน เนื่องจากการลงทุนไทยที่มีตัวเลขต่ำมานาน ซึ่งการลงทุนจะทำต่อไปต้องเน้นคุณภาพ และเน้นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมถึงเศรษฐกิจสีเขียว (กรีนอีโคโนมี) ที่เข้ามามีบทบาทด้านความยั่งยืนมากขึ้น อีกทั้งโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับประชากรสูงวัยเข้าถึงบริการด้านต่างๆ ง่ายขึ้น 2.เรื่องคน เพราะยุคที่เปลี่ยนแปลงโดยเทคโนโลยี แต่ยังมีปัญหาขาดแคลนแรงงาน รวมถึงความกังวลเรื่องจะมีนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาทดแทนแรงงาน จากปัญหานี้สามารถพัฒนาไปพร้อมกันได้ โดยการอัปสกิล-รีสกิลให้มีคุณภาพมากขึ้น เช่น แรงงานภาคเกษตรมี 12 ล้านคน หากมีการอัปสกิลอาจมีทักษะอื่นๆ ได้ในภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ อย่างภาคการท่องเที่ยวที่มีการใช้ภาษามากขึ้น ซึ่งจากโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นมองว่า ก. ข. และ ค. ที่มองไว้ ถ้าสามารถทำได้อย่างไรเศรษฐกิจจะเดินไปข้างหน้าได้แน่นอน
นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CBS) เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับ World Economic Forum (WEF) จัดทำและเผยแพร่รายงานอนาคตการเติบโต The Future of Growth Report 2024 เพื่อวัดคุณภาพการเติบโตของประเทศต่างๆ พบว่าประเทศไทยการเติบโตอยู่ค่อนไปทางครึ่งหลังของโลก แต่ควรเร่งพัฒนาด้านความยั่งยืน ความเหลื่อมล้ำของรายได้ และกฎหมายคุ้มครองอย่างเต็มกำลัง ซึ่งได้ทำการสำรวจและวิเคราะห์ทิศทางการเติบโตในอนาคตของประเทศต่างๆ ซึ่งครอบคลุม 107 ประเทศทั่วโลก ประเทศไทยอยู่ลำดับที่ 51 โดยอันดับหนึ่งในโลกได้แก่ประเทศ สวีเดน และตามด้วย สวิตเซอร์แลนด์ ฟินแลนด์ และเดนมาร์ก ในแถบประเทศเอเชีย ญี่ปุ่นนำโด่งในลำดับที่ 11 ตามด้วยเกาหลี (12) และสิงคโปร์ (16) ในขณะที่ มาเลเซียมาลำดับที่ 31 เวียดนาม 36 อินโดนีเซีย 50 และไทยลำดับ 51 จากคะแนนรวมที่ถ่วงน้ำหนักทั้ง 4 มิติแห่งการเติบโตของประเทศ
ดร.วิเลิศกล่าวว่า แนวทางการพิจารณาการเติบโตของประเทศ ซึ่งไม่เพียงแต่มุ่งเน้นด้านความรวดเร็วในการเติบโตเท่านั้น แต่ควรมุ่งเน้นในด้านคุณภาพของการเติบโตด้วย ซึ่งจะช่วยให้มีการสร้างความสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและความเท่าเทียมในระยะยาว โดยปัจจัยที่สำคัญของอนาคตการเติบโตของประเทศตาม World Economic Forum ประกอบด้วย 4 มิติ ได้แก่ ด้านนวัตกรรม(Innovativeness) ด้านความครอบคลุมของโครงสร้างพื้นฐาน (Inclusiveness) ความยั่งยืน (Sustainability) และความยืดหยุ่น (Resilience)
จากการเปรียบเทียบผลประเมินของประเทศไทยกับผลประเมินโดยรวมของประเทศต่างๆ ทั่วโลก และผลประเมินของประเทศในกลุ่มที่มีรายได้ปานกลางระดับบน พบว่าประเทศไทยมีคะแนนด้านนวัตกรรม (Innovativeness) เท่ากับ 47.94 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก (45.2) และค่าเฉลี่ยของประเทศในกลุ่มที่มีรายได้ปานกลางระดับบน (39.3) ด้านความครอบคลุมของโครงสร้างพื้นฐาน(Inclusiveness) ประเทศไทยได้คะแนน 55.66 ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยโลก (55.9) และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในกลุ่มที่มีรายได้ปานกลางระดับบน(54.8) แสดงให้เห็นว่าไทยยังคงดำเนินการเพื่อการเติบโตที่เป็นธรรมและรวมทุกภาคส่วนเข้าไว้ด้วยกัน ด้านความยั่งยืน (Sustainability) คะแนนของประเทศไทยเท่ากับ 40.84 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก (46.8) และค่าเฉลี่ยของประเทศในกลุ่มที่มีรายได้ปานกลางระดับบน (44.0) จึงเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความจำเป็นที่ต้องมีการเร่งดำเนินการเพื่อพัฒนาด้านความยั่งยืนของไทยให้เพิ่มมากขึ้น ด้านความยืดหยุ่นและการปรับตัว (Resilience) ซึ่งแสดงถึงการปรับตัวต่อผลกระทบต่างๆ คะแนนของประเทศไทยเท่ากับ 51.5 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก (52.75) เล็กน้อย แต่ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในกลุ่มที่มีรายได้ปานกลางระดับบน (50.0) สะท้อนให้เห็นว่าไทยมีความสามารถในการตอบสนองและฟื้นฟูจากวิกฤตต่างๆ ได้พอประมาณ และควรมีการพัฒนาในด้านนี้ต่อไป
ดังนั้น ประเทศไทยควรเร่งเพิ่มขีดความสามารถในทุกด้าน แม้ว่าด้านนวัตกรรมจะทำได้ดีแต่ยังต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาในด้านต่างๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะด้านความยั่งยืน เพื่อเสริมสร้างคุณภาพของการเติบโตของประเทศให้ดียิ่งขึ้น
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี