วันเสาร์ ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2568
nn ในที่สุด โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็กดปุ่มเปิดฉากสงครามการค้าแล้ว โดยเริ่มจากการขึ้นภาษีสินค้ากลุ่มเหล็ก และอะลูมิเนียม 25% จากทุกประเทศที่ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา โดยประเทศที่โดนหนักๆ ก็หนีไม่พ้น แคนาดา เม็กซิโก เกาหลีใต้ จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม ฯลฯ
แม้ว่าประเทศไทยจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงมากนักจากกรณีสหรัฐฯขึ้นภาษีเหล็ก เนื่องจากไทยส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ไปยังสหรัฐฯเพียงปีละไม่กี่แสนตัน แต่สิ่งที่น่ากังวลกว่านั้นมากนักคือ เหล็กจากต่างประเทศจะไหลทะลักเข้ามาในประเทศไทยโดยเฉพาะจากจีนซึ่งจะหนักหน่วงมากขึ้นอีก ซึ่งว่ากันตามจริงแล้วอุตสาหกรรมเหล็กของไทยนั้นได้รับผลกระทบจากการที่เหล็กจากจีนทะลักเข้ามาทุ่มตลาดไทยตั้งแต่ปี 2560 ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีสหรัฐสมัยแรกซึ่งได้ตั้งกำแพงภาษีสินค้ากับจีน ช่วงแรกๆ เข้ามาในรูปแบบการนำเข้า(เข้ามาทุ่มตลาด เพราะได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาลปักกิ่งบ้าง เลี่ยงอากรบ้าง) แต่หลังจากนั้น 1-2 ปี ก็ยกขบวนการเข้ามาตั้งโรงงานในประเทศไทย เนื่องจากรัฐบาลปักกิ่งมีนโยบายลดปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วยการสั่งปิดโรงงานผลิตเหล็กที่ใช้เทคโนโลยีแบบเก่า หรือที่เรียกว่า อินดักชั่น เฟอร์เนต (เตาแบบ IF)
กว่าที่รัฐบาลไทยในยุคนั้นจะรู้สึกตัวว่ากำลังสร้างผลกระทบเชิงลบกับอุตสาหกรรมเหล็กไทย และเศรษฐกิจไทยโดยรวม โรงงานเหล็ก (เตาIF) สัญชาติจีน ก็ผุดขึ้นในไทยอย่างกับดอกเห็ดไปแล้ว...โดยในปัจจุบัน มีโรงงานเหล็กจีนในกรณีเหล็กเส้น มีบริษัทเหล็กจีนเข้ามาตั้งโรงงาน 6 บริษัท กำลังการผลิตรวม 3.7 ล้านตันต่อปี โดยบริษัทดั้งเดิมของไทยที่ยังดำเนินการอยู่ 40 บริษัท กำลังการผลิตรวม 6.8 ล้านตันต่อปี ส่งผลให้สัดส่วนกำลังการผลิต บริษัทเหล็กจีน 35% บริษัทเหล็กไทยดั้งเดิม 65%
ภาพรวมของอุตสาหกรรมเหล็กของไทยในภาพรวมมีกำลังการผลิตเหล็กในประเทศรวม 33.7 ล้านตันต่อปี แบ่งเป็นเหล็กทรงแบน ทั้งรีดร้อน รีดเย็น เหล็กเคลือบชนิด 17.2 ล้านตันต่อปี รวมถึงเหล็กทรงยาว เช่น เหล็กเส้น เหล็กลวด เหล็กรูปพรรณ 16.5 ล้านตันต่อปี ส่วนความต้องการใช้เหล็ก มีเพียง 16-17 ล้านตันนำเข้า 11.4 ล้านตัน โดยนำเข้าจากจีนสูงสุดประมาณเกือบ 5 ล้านตัน คิดเป็นประมาณ 44% ของการนำเข้าทั้งหมด
แค่นี้ก็เห็นแล้วว่ากำลังผลิตเหล็กของไทยมันล้นตลาดหนักอยู่แล้ว และหากว่ารวมกำลังการผลิตจากโรงงานเหล็กจากจีนที่เข้ามาตั้งโรงงานในไทยอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นด้วยแล้ว โดยเฉพาะโรงงานใหญ่ๆของ บริษัท ซินเคอหยวน จำกัด ซึ่งเดิมผลิตเหล็กทรงยาว และกำลังจะเพิ่มการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนกำลังการผลิต 5.6 ล้านตันต่อปี ก็จะทำให้เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนในไทยจาก 4 บริษัทที่มีอยู่เดิม 7.9 ล้านตันต่อปี และจะเพิ่มเป็น 13.5 ล้านตันต่อปีภายในปี 2568 และดันตัวเลขการผลิตเหล็กในประเทศทุกชนิดพุ่งขึ้นไปถึง40 ล้านตันต่อปี
ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่การเข้ามาของโรงงานเหล็กสัญชาติจีนจะทำให้เกิดภาวการณ์ทุ่มตลาดและการทำให้กำลังการผลิตล้นตลาดเท่านั้น แต่ยังมีปัญหาอื่นๆ ตามมามากมายในหลากหลายมิติ เช่น มิติทางสังคม เพราะโรงงานเหล็กของจีนมีปัญหามากเรื่องความปลอดภัย ยกตัวอย่าง โรงงานเหล็ก ของบริษัทซินเคอหยวนเกิดเหตุเพลิงไหม้ โรงงานถล่ม หลายครั้งทำให้คนงานบาดเจ็บล้มตายไปก็หลายรายรวมทั้งสร้างมลพิษทางสิ่งแวดล้อมให้กับชุมชนในพื้นที่หลังจากเกิดเหตุไฟไหม้นอกจากนี้ยังประเด็นเรื่องคุณภาพของเหล็กที่ผลิตออกมาจากโรงงานของจีนด้วยเนื่องจากใช้เตา IF จึงเป็นเรื่องยากที่จะควบคุมคุณภาพของเหล็ก เพราะเตา IF ควบคุมสารมลทินในเนื้อเหล็กได้ยากมาก และยิ่งหากผู้ผลิตไม่ใส่ใจในเรื่องนี้เลยก็ยิ่งน่าเป็นห่วงกับคุณภาพเหล็กที่ออกมาจากโรงงานดังกล่าว
ด้วยเหตุนี้เองที่ผ่านมา กระทรวงอุตสาหกรรม โดยการสั่งการของ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม จึงได้ดำเนินการตรวจสอบและควบคุมอย่างเข้มงวดทั้งในเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย ซึ่งก่อนหน้าก็ได้สั่งการให้โรงงานเหล็กของ บ.ซินเคอหยวน หยุดดำเนินการ จนกว่าจะมีการแก้ไขเรื่องความปลอดภัยให้แล้วเสร็จ รวมทั้งได้สั่งการ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ปูพรมลงตรวจสอบคุณภาพเหล็ก ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่ง สมอ.เองก็ได้มีการตรวจอายัดเหล็กที่ไม่ได้คุณภาพจำนวนมาก และสำหรับบ.ซินเคอหยวน เอง ในปี 2567 ก็ถูกตรวจพบว่ามีสินค้า(เหล็ก)ที่ไม่ได้มาตรฐาน มากว่า 3,200 ตัน
เมื่อทางการของไทย (ก.อุตสาหกรรม) เอาจริงเอาจังขึ้นมา ก็เลยมีข่าวว่ามีการลงขันกัน 200 ล้านบาท เพื่อให้เปลี่ยนตัว รมว.อุตสาหกรรม จาก
นายเอกนัฏ เป็นคนอื่น (หวังว่าจะวิ่งเต้นได้)...ตอนนี้ได้ข่าว่าเหิมเกริมหนักขึ้นไปอีก โดยเชื่อกันว่ามีการใช้กำลังเงิน หากผู้มีอิทธิพลมาวิ่งเต้น และพยายามจะดิสเครดิต สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย โดยพยายามจะบอกว่ามาตรฐานในการตรวจสอบคุณภาพเหล็ก ของสถาบันเหล็กกล้านั้นเชื่อถือไม่ได้ เชื่อเหลือเกินว่าต่อจากนี้จะมีกระบวนการใต้ดินอื่นๆ ออกมาอีกเยอะเพื่อทำให้โรงเหล็กคุณภาพต่ำจากจีนมันยังลอยนวลออยู่ได้
มั่นใจได้เลยต่อจากนี้ผลของ“ทรัมป์ 2.0” “เหล็กจีน” ก็จะวิ่งกันให้พล่านเพื่อไทยกลายเป็นแหล่งระบายสต๊อกเหล็กของจีน ซึ่งช่วงปี 2566-67 กลุ่มทุนจีนทะลักเข้ามาลงทุนไทย รับงานก่อสร้างในไทย อย่าได้หวังเลยว่าคนพวกนี้จะใช้เหล็กของไทย...ดังนั้น ราชการไทย ทุกส่วนที่มีอำนาจตามกฎหมาย ถึงเวลาต้องหยุดความเหิมเกริมของ “เหล็กจีน” ได้แล้ว...nn

กำปั้นไทยไร้พ่าย! ลิ่ว 7 รุ่นต่อยซีเกมส์
เลขาวุฒิสภา แจ้ง สว. ยกเลิกประชุมวุฒิสภา 15- 16 ธ.ค.นี้ หลังยุบสภาแล้ว
ดร.จักษ์ ชม อนุทิน ตัดสินใจระดับรัฐบุรุษ ยุบสภาครั้งนี้ เผาพรรคส้มเหลือแต่ขี้เถ้า
กกต. กางแนวทาง ค่าใช้จ่าย สส. ช่วงเลือกตั้ง พรรคการเมืองหาเสียงได้ตั้งแต่วัน ยุบสภา
ปูติน ยกระดับชีวิตพลเมืองรัสเซีย อัตราความยากจนลดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี