ข่าวเกี่ยวกับเงินบริจาควัด ที่เจ้าอาวาสและพระสงฆ์บางรูป นำมาใช้จ่ายผิดประเภทสร้างความมัวหมองให้แก่ศาสนา และความสะเทือนใจแก่บรรดาพุทธศาสนิกชนผู้มีจิตศรัทธาเป็นอย่างมาก
สิ่งที่เกิดขึ้น ถือเป็นส่วนน้อย พระภิกษุสงฆ์ ผู้ประพฤติดี ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ยังมีอีกมาก พุทธศาสนิกชนต้องแยกแยะให้ได้
ล่าสุด กรมสรรพากรได้มีประกาศว่า ตั้งแต่ 1 มกราคม 2569 การบริจาคเงินให้แก่ วัดวาอาราม มูลนิธิ สมาคม กองทุนและองค์การต่างๆ เพื่อหักลดหย่อนภาษี ต้องดำเนินการผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) เท่านั้น
เจตนารมณ์์ของประกาศนี้ เพื่อให้ปรากฏเป็นหลักฐานในการตรวจสอบเงินบริจาค ตลอดจนใช้เงินดังกล่าวว่า ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาคหรือไม่
ในเรื่องการบริจาคเงินผ่านวัดวาอาราม เคยมีคดีความที่เป็นข่าวใหญ่ และสะเทือนจิตใจชาวพุทธเป็นอย่างมาก คือ คดีทุจริตเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ที่เกิดขึ้นเมื่อปีพ.ศ.2529 และศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาถึงที่สุด เมื่อปีพ.ศ. 2556
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ คือ เหรียญและตรา อันเป็นเครื่องหมายแสดงเกียรติยศและบำเหน็จความชอบที่พระมหากษัตริย์พระราชทานให้แก่บุคคลผู้มีคุณความดีต่อชาติ ศาสนา และประชาชน ประพฤติดีมีความซื่อสัตย์ และทำงานให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างดีเยี่ยม ถือเป็นเกียรติยศสูงสุดแก่ผู้รับพระราชทาน
ในประเทศไทยเครื่องราชอิสริยาภรณ์มีหลายประเภท แบ่งย่อยเป็นตระกูลชั้นต่างๆ กันไป โดยมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาพระราชทานตามคุณงามความดีและความสำคัญของตำแหน่งหน้าที่ของผู้รับหน่วยงานรัฐหรือรัฐบาลจะเป็นผู้เสนอรายชื่อบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสม
ในช่วงปลายปี 2529 สำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ตรวจสอบการบริจาคเงิน เพื่อขอรับ “เครื่องราชอิสริยาภรณ์” ชั้นต่างๆ ซึ่ง ภายในปีนั้น มีการขอเครื่องราชอิสริยาภรณ์กว่า 750 ราย
เหตุที่เป็นเรื่องอื้อฉาว และเป็นประเด็น เนื่องจาก นักธุรกิจและบุคคลชั้นสูง บางคนที่ได้รับเครื่องราชโดยวิธีไม่ชอบ แล้วไปโอ้อวด ว่าเป็นผู้บริจาคเงิน
จากการตรวจสอบ มีกรณีที่น่าสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการทุจริตเครื่องราช เป็นจำนวนเงินถึง 1,400 ล้านบาท โดยมีการปลอมใบอนุโมทนาจำนวนมาก เพราะมีผู้บริจาคตามใบอนุโมทนาบัตรยอมรับว่า ไม่ได้บริจาคเงินดังกล่าว
ในบางกรณี ใบอนุโมทนาบัตร ระบุว่า มีการบริจาคเงินให้วัดหลวง 2 แห่ง แห่งหนึ่ง 3 ล้านบาท อีกแห่งหนึ่ง 62 ล้านบาท
พฤติกรรมการทุจริต จะทำกันเป็นกลุ่มหรือเป็นคณะ แบ่งแยกหน้าที่กันทำ คนที่หาลูกค้า จะแต่งตัวดีและไปพบบุคคลต่างๆ ชักชวนให้รับเครื่องราช โดยมีค่าดำเนินการในระหว่าง 30,000 ถึง 300,000 บาท แล้วแต่ชั้น ตระกูล และชนิด ของเครื่องราช ซึ่งเมื่อเทียบค่าเงินแล้ว นับว่าเป็นจำนวนเงินที่สูงมากในขณะนั้น
ศาสตราจารย์ มารุต บุนนาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในขณะนั้น ได้มีคำสั่งให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง จึงพบว่าวัดหลวงที่ถูกอ้างว่า มีการบริจาค 62 ล้านบาท คือ วัดเบญจมบพิตรซึ่งพระพุทธิวงศ์มุนี เจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตร ในฐานะกรรมการมหาเถรสมาคม ได้ยืนยันว่า นับตั้งแต่วัดนี้สร้างขึ้นมา มีผู้บริจาคเงินสูงสุดเพียง 6 ล้านบาท และวัดไม่เคยขอเครื่องราชให้กับผู้ใด ไม่ตรงกับใบประกาศเกียรติคุณที่ออกให้กับผู้ปลอมแปลงเอกสาร 10 ราย ซึ่งระบุว่าบริจาคเมื่อปี 2529
คดีนี้มีผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดหลายคน มีทั้งพระเถระชั้นผู้ใหญ่ พระผู้ใหญ่ ข้าราชการระดับกลางและระดับสูง
ใน ปี 2531 พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีอาญา กับนายผาสุก ขาวผ่อง หรือพระราชปัญญาโกศล หรือเจ้าคุณอุดม อดีตรองเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทร์ จำเลยที่ 1 (ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) ร่วมกับจำเลยร่วมอีก 15 คน โดยจำเลยทั้ง 15 คน เป็นผู้ใกล้ชิดจำเลยที่ 1 รวมไปถึงข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อีกหลายคน ในความผิดฐาน ร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ จูงใจให้บุคคลมอบทรัพย์สิน, ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำเอกสาร กระทำการกรอกข้อความอันเป็นเท็จ, ร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับ ทรัพย์สินเพื่อกระทำการในตำแหน่งโดยมิชอบ, ร่วมกันปลอมดวงตราของทบวงการเมือง องค์การสาธารณะ หรือของเจ้าพนักงาน และร่วมกันปลอมเอกสารราชการ และตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 149, 162, 251 และ มาตรา 265
จำเลยที่ 1 กับพวกทั้ง 15 คนนี้ มีพฤติการณ์ร่วมกระทำเข้าข่ายลักษณะของการปลอมใบอนุโมทนาบัตร และเอกสารสำคัญอีกหลายรายการ เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการขอรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ มีการร่วมกันกระทำการต่อเนื่องระหว่างปี 2522-2529 โดยร่วมกันปลอมแปลงเอกสารใบอนุโมทนาบัตร ที่รับเงินบริจาคจากประชาชนที่จำเลยได้จูงใจให้บริจาคทรัพย์สินเพื่อยื่นเอกสารต่อกระทรวงศึกษาธิการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์
การดำเนินคดี ยืดเยื้อยาวนานถึง 25 ปี ทำให้ระหว่างพิจารณาคดี ได้มีการเปลี่ยนพนักงานอัยการหลายคน โดยจำเลยในคดีนี้เสียชีวิตไปแล้ว 9 คน ผู้พิพากษาเสียชีวิต 1 คน และทนายความเสียชีวิต 4 คน พนักงานอัยการซึ่งเป็นโจทก์ ได้นำพยานเข้าสืบกว่า 100 ปากจากพยานที่อ้างไว้ 508 ปาก
ในที่สุด ศาลฎีกาได้พิพากษา เมื่อปีพ.ศ. 2556 ยกฟ้องจำเลย ที่เหลืออยู่ในขณะนั้น 2 คน ที่ยังสู้คดีอยู่ (จำเลยที่ 8 พนักงานธนาคารกรุงเทพ และจำเลยที่ 9 ข้าราชการพลเรือน
ช่วยงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ) เนื่องจากศาลพิจารณาเห็นว่าจำเลยไม่ได้ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ทุจริต และยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย) ส่วน จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ศาลยกฟ้องไปก่อนหน้านี้แล้ว เพราะพยานหลักฐานไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ากระทำความผิด จำเลยหลายคนที่ยังไม่เสียชีวิตได้ยอมรับคำพิพากษาก่อนหน้านี้ และไม่ได้สู้คดีในชั้นศาลฎีกา
แม้เวลาจะผ่านไปนานมากแล้วความทุจริตเกี่ยวกับเงินบริจาควัด ยังมีอยู่จนปัจจุบัน
e-Donation หรือการบริจาคเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์อาจเป็นกลไกยุคใหม่ ที่ป้องกันการทุจริตเงินบริจาควัดได้
ดร.รุจิระ บุนนาค
กรรมการผู้จัดการ
Marut Bunnag International Law Office
rujira_bunnag@yahoo.com
Twitter : @RujiraBunnag
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี