นับวันเหล่าปัญญาชนคนเสื้อแดงจะรู้เท่าทันธาตุแท้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกมากขึ้นเรื่อยๆโดยส่อพฤติกรรมหลอกใช้มวลชนคนเสื้อแดงเป็นเครื่องมือทางการเมืองมาตลอด และพอหมดประโยชน์ก็ลอยแพ
ในเหตุการณ์ชุมนุมของม็อบเสื้อแดงและก่อจลาจลทั่วกทม.เมื่อปี 2552 ยุครัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่มี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ภายใต้การบงการของ นายทักษิณ นอกจากก่อจลาจลทั่วกทม.แล้ว ม็อบเสื้อแดงยังบุกกระทรวงมหาดไทยหมายสังหาร นายอภิสิทธิ์ แต่ไม่สำเร็จ แต่ที่สำคัญคือบุกล้มการประชุมสุดยอดผู้นำชาติอาเซียนและผู้นำชาติมหาอำนาจคู่เจรจาที่โรงแรมรอยัลคลิฟพัทยา จ.ชลบุรี โดยการก่อการจลาจลของม็อบเสื้อแดงภายใต้การปลุกระดมของ นายทักษิณ ครั้งนั้นเพื่อโค่นล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์หวังฟื้นระบอบทักษิรกลับมายึดครองประเทศอีกครั้ง
การก่อจลาจลทั่วกทม.เมื่อปี 2552 นายทักษิณ ปลุกระดมม็อบเสื้อแดงให้สู้ขั้นแตกหักพร้อมทั้งประกาศว่า หากมีกระสุนนัดแรกจากฝ่ายทหารดังขึ้นเมื่อไหร่ ตัวเองจะกลับมานำทัพม็อบเสื้อแดงสู้ด้วยตัวเองทันที แต่แล้วเมื่อม็อบเสื้อแดงพ่ายแพ้ถูกฝ่ายทหารสลายการชุมนุมโดยไม่เสียเลือดเนื้อกลับไม่เห็น นายทักษิณ แม้แต่เงา
อีกกรณีหนึ่งที่พิสูจน์ธาตุแท้ของ นายทักษิณ ก็คือ การผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับสุดซอย ซึ่งเดิมมวลชนคนเสื้อแดงและนักวิชาการเสื้อแดงส่วนใหญ่เรียกร้องกดดันผ่านแกนนำกลุ่มเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยให้ผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเฉพาะประชาชนทุกสีทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบทางการเมืองตั้งแต่ปี 2548 ถึงปี 2557 เพื่อสร้างความปรองดอง โดยไม่ครอบคลุมถึง นายทักษิณ และบรรดาแกนนำคนเสื้อแดงที่เป็นผู้ต้องหาก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองเมื่อปี 2553 ซึ่งร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ได้รับการสนับสนุนจากตัวแทนทุกกลุ่มทุกสีและมีโอกาสสำเร็จสูงมาก แต่แนวคิดดังกล่าวกลับถูกปฏิเสธจาก นายทักษิณ อย่างสิ้นเชิงเพราะ นายทักษิณ ไม่ได้ประโยชน์จากร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้
นายทักษิณ สั่งให้ นายประยุทธ์ ศิริพานิช อดีตส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย บินไปพบและมอบหมายให้ยกร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยหมกเม็ดซึ่งมีเนื้อหาที่มีเป้าหมายแอบแฝงมุ่งนิรโทษกรรมโทษความผิดให้ นายทักษิณ จนในที่สุดกลายเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่นำไปสู่การออกมาชุมนุมแสดงพลังของมวลมหาประชาชนหลายล้านคนมากที่สุดในประวัติศาสตร์เพื่อต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับหมกเม็ดเพื่อ นายทักษิณให้กลับบ้านแบบเท่ๆโดยไม่ต้องรับโทษความผิดตามคำพิพากษาศาลและปูทางให้ นายทักษิณ กลับมาเป็นใหญ่อีกครั้ง ซึ่งการลุกฮือของมวลมหาประชาชนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ลุกลามกลายเป็นขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดระบอบทักษิณภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลายเป็นวิกฤติความรุนแรงและจบลงด้วยการยึดอำนาจการปกครองประเทศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557
จาการที่ นายทักษิณ ส่อธาตุแท้ทำทุกอย่างล้วนเพื่อตัวเอง จึงไม่แปลกที่แม้แต่นักวิชาการและแกนนำคนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยออกมาแสดงความไม่พอใจและเปิดโปงธาตุแท้ นายทักษิณที่หลอกใช้มวลชนเสื้อแดงเป็นเครื่องมือทางการเมืองมาตลอด
ก่อนหน้านี้ ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล หรือ “อาจารย์หงอก” อดีตอาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ขณะนี้หลบหนีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไปใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศได้โพสต์ข้อความเมื่อครั้งที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ แถลงปิดคดีถูกถอดถอนฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ส่อรู้เห็นเป็นใจให้เกิดมหกรรมโกงชาติปล้นแผ่นดินโครงการรับจำนำข้าวที่สร้างความวิบัติล่มจมให้ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ จ้างทีมทนายที่ดีที่สุดและมีอดีตรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยรวมเกือบ10 คนคอยช่วยเหลือแก้ต่างให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่ง นายสมศักดิ์ โพสต์ความเห็นเชิงประชดประชันว่า “ก็ได้แต่ขำนะครับ ชาวบ้าวชาวเมืองคนตัวเล็กตัวน้อย(มวลชนเสื้อแดง)ไม่รู้เท่าไรโดนเหยียบหัวเอาเข้าคุก แต่พวกคุณกลับเฉย ไม่ออกมาโวยวายอะไร ตอนนี้พอนาย(น.ส.ยิ่งลักษณ์)จะโดนก็แสดงความฮึ่มๆกันเชียว แหมเป็นนักประชาธิปไตยมากๆเลย “
ต่อมาหลัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถูกลงมติถอดถอนโดยที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย นายทักษิณ ได้โพสต์ภาพตัวเองชูกำปั้นพร้อมทั้งข้อความปลุกระดมมวลชนเสื้อแดงให้ลุกฮือ ซึ่ง นายสมศักดิ์ โพสต์ข้อความประชดประชันอีกเช่นกันใจความว่า “ ก็ได้แต่หัวเราะ เหอะๆ ตอนนี้จะมาปลุกระดมประชาชนกันแล้วนะครับ ไอ้ที่รัฐประหารเหยียบหัวคนสิบๆล้าน จับคนของตัวเองเข้าคุกไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร ช่างแม่ม ตอนนี้กูยั๊วะแล้ว มาเล่นงานคนในครอบครัว(น.ส.ยิ่งลักษณ์) กูจะปลุกระดมไปสู้แล้ว นับถือครับ นับถือ “
ก่อนหน้านี้นักวิชาการเสื้อแดงและแกนนำเสื้อแดงหลายต่อหลายคนก็ออกมาแฉธาตุแท้ตระกูลชินในลักษณะเดียวกัน อาทิ รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คส่วนตัวเรียกร้องให้นักวิชาการและแกนนำคนเสื้อแดงหันมาให้ความใส่ใจมวลชนเสื้อแดงรากหญ้าที่ต่อสู้เพื่อตระกูลชิน แต่กลับถูกลอยแพอย่างไม่สนใจใยดี ต่างกับ นายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กลับได้รับความห่วงใยดุจไข่ในหิน ทั้งๆที่ คนตระกูลชินอยู่อย่างสุขสบายทุกอย่าง มีทีมทนายที่เก่งที่สุด และมีคนห้อมล้อมช่วยเหลือมากมาย
รศ.ดร.พิชิต โพสต์ข้อความว่า “ ผมนึกถึงพี่น้องของเราที่มีคดีการเมืองตั้งแต่ปี 2553 จนปัจจุบัน หลายคนติดคุกจนครบกำหนดได้รับการปล่อยตัวออกมาแล้ว แต่ยังมีอีกจำนวนหนึ่งยังติดคุกยาวจนถึงวันนี้ ยังมีนักโทษการเมืองเพิ่มขึ้นหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 ทั้งคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและคดีอาญาอื่นๆ รวมทั้งเพื่อนๆหลายคนต้องหลบหนีไปต่างประเทศรวมแล้วหลายร้อยคน หลายคนบ้านแตกสาแหรกขาดเป็นหนี้เป็นสินจนหมดตัว ไม่มีใครไปดูแล บางคนมีแต่ทนายอาสาคอยช่วยเหลือตามมีตามเกิด พี่น้องเหล่านี้ต่อสู้เคียงเบียบเคียงไหล่มากับเรานั่นแหละ แต่เขาประสบเคราะห์กรรมในสนามรบ ขณะที่เราเอาตัวรอดได้ เพื่อนๆนอกจากจะห่วงยิ่งลักษณ์รักทักษิณเหลือเกินแล้ว กรุณาปันใจมาให้คนเหล่านี้บ้าง”
รศ.ดร.พิชิต โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊คเพจส่วนตัววิพากษ์วิจารณ์กลุ่มแกนนำนำที่สนับสนุนระบอบทักษิณว่า มีแต่ความใจดำ เห็นแก่ตัว ไม่เห็นค่าของชีวิตมวลชนที่สนับสนุนระบอบทักษิณ ทำให้ศรัทธาลดต่ำลงตั้งแต่ปลายปี 2556 จนกระทั่งเกิดการรัฐประหาร 22 พ.ค.2557 เสื่อมทรามลงจน ณ วันนี้กล่าวได้ว่ามันจบแล้ว
ทั้งนี้ รศ.ดร.พิชิต ชี้ว่ามี 4 เหตุการณ์ที่พิสูจน์พฤติกรรมเสื่อมทรามระบอบทักษิณคือ 1.การผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเหมาเข่ง 2.การชุมนุมของคนเสื้อแดงที่สนามราชมังคลาภิเษกเห็นพี่น้องถูกอันธพาลติดอาวุธล้อมกรอบทำร้าย บาดเจ็บล้มตายหลายคน 3.การเลือกตั้ง 2 ก.พ.2557 พี่น้องประชาชนเสี่ยงตายเข้าไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งเพื่อปกป้องรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของเขา และ4.รัฐบาลผลักไสตำรวจชุดปราบจลาจลให้ปะทะกับกลุ่มมวลชนกปปส.จนเกิดการบาดเจ็บล้มตาย
“ แต่ละเหตุการณ์ผมจะเอามาเล่าใฟ้ฟังซึ่งหลายเรื่องฟังแล้วจะอึ้งในความใจดำเห็นแก่ตัวของคนบางคนที่ไม่เห็นค่าชีวิตของมวลชนเสื้อแดงที่สนับสนุนพวกเขา เป็นคนบางคนที่เพื่อนๆบางกลุ่มยังคงอวยไม่เลิกในวันนี้ “
ล่าสุด รศ.ดร.พิชิต ยังโพสต์ข้อความใจความว่า หลายคนเชื่อว่าความล่มสลายของขบวนการเสื้อแดงในปัจจุบันสาเหตุสำคัญข้อหนึ่งเพราะไม่ยอมสรุปบทเรียนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับ นายทักษิณ ที่ทรยศประชาชนคือใช้ประโยชน์จากมวลชนเสื้อแดงที่สู้จนติดคุกบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากเมื่อปี 2553 โดยใช้มวลชนเสื้อแดงไปกดดันให้อีกฝ่ายยอมเกี้ยเซี๊ย โดย นายทักษิณปลุกระดมว่าถ้าเมื่อไหร่เสียงปืนแตกเมื่อทหารลั่นกระสุนนัดแรก ตัวเองจะกลับมานำทัพมวลชนเสื้อแดงเดินเข้ากรุงเทพฯทันที แต่หลังสลายเสื้อแดงกลับไม่เห็น นายทักษิณ แม้แต่เงา
รศ.ดร.พิชิต ยังชี้ว่า นายทักษิณ เอามวลชนเสื้อแดงไปขายในเหตุการณ์ปี 2553 หลังมวลชนถูกกระชับพื้นที่จนพ่ายแพ้ นายทักษิณ กลับลำจากการเอามวลชนเสื้อแดงไปกดดันอำนาจรัฐเปลี่ยนมาเป็นเอามวลชนไปขายแลกกับการเจรจาเกี้ยเซี๊ยด้วยการประกาศสลายขบวนการเสื้อแดงกลางเวทีรำลึกเหตุการณ์ชุมนุมที่แยกราชประสงค์เมื่อเดือนพ.ค.ปี 2553 โดยกล่าวว่า “พี่น้องไม่ต้องแบกเรือมาขึ้นบกตามผมอีกต่อไปแล้ว” แต่เมื่อการเจรจาเกี้ยเซี๊ยล้มเหลว นายทักษิณ ก็กลับหันมาใช้มวลชนเสื้อแดงเป็นเครื่องมืออีกครั้งเพื่อปกป้องรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ถูกกดดันจากกลุ่ม กปปส. หลังจากที่พยายามหักดิบลักหลับผลันดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยโดยมีเป้าหมายแอบแฝงเพื่อลบล้างโทษความผิดให้กับ นายทักษิณ
“ สำหรับมวลชนเสื้อแดงเป็นเพียงเบี้ยในมือเอาไว้บลัฟ เอาไว้ต่อรองกับอีกฝ่าย และถ้าได้ดีลเหมาะๆมีสิ่งแลดที่คุ้มค่าก็พร้อมที่จะโยนไปแลกเหมือนกับวิธีต่อรองทางธุรกิจนั่นแหละ “ รศ.ดร.พิชิต ตีแผ่พร้อมทั้งชี้อีกว่า ปัญหาบ้านเมืองที่บอบช้ำอย่างแสนสาหัสตลอดช่วงที่ผ่านมา นายทักษิณ มีส่วนรับผิดชอบอย่างสำคัญและปฏิเสธไม่ได้ วันนี้จึงไม่ใช่ก้าวข้ามนายทักษิณด้วยการไม่พูดถึง แต่ต้องวิพากษ์ นายทักษิณ อย่างตรงไปตรงมาเพื่อสรุปบทเรียนจึงจะเดินหน้าต่อไปได้
นี่คืออุทธาหรณ์สำหรับบรรดาแดงรากหญ้าที่น่าจะตื่นรู้ทันธาตุแท้ระบอบทักษิณและตระกูลชินตลอดตนแกนนำเสื้อกแดงที่สู้แล้วรวยเพียงไม่กี่คนที่ส่อหลอกใช้มวลชนแดงรากหญ้าเป็นเครื่องมือทางการเมืองมาตลอดเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งพอหมดประโยชน์ก็ลอยแพเหล่าแดงรากหญ้าอย่างเลือดเย็น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี