ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โลกสะบัดร้อนสะบัดหนาวเหมือนไข้ขึ้นสูงเพราะลุงทรัมป์กับอาตี๋คิมชี้หน้าด่าทอข้ามหัวชาวโลกจนโลกแทบลุกเป็นไฟ ทั้งสองฝ่ายช่างสรรหาคำมาด่ากันแบบไม่เว้นวรรค เช่น อาตี๋คิมด่าเฒ่าทรัมป์ว่า “ไอ้แก่โรคจิต” บ้าง หรือ “ฮิตเลอร์แห่งศตวรรษที่21” บ้างข้างลุงทรัมป์นั้นก็หันไปด่าทอต่อความกับเด็กแบบไม่อายหมูหมากาไก่แต่อย่างไร ด่ารัวๆ ใส่อาตี๋คิมว่า ไอ้มนุษย์จรวดบ้าง ไอ้อ้วนเตี้ยบ้างแถมเกทับกันไปมาว่าปุ่มกดปล่อยจรวดของตนนั้นใหญ่กว่าของอีกฝ่าย
บรรดาสื่อมะริกันเสนอข่าวเกาหลีเหนือทุกวันในเชิงลบจนดูเหมือนพี่คิมกลายเป็นตัวพิสดารเหมือนตัวโกงในนิยายจีนกำลังภายในไปแล้วทั้งหมดทั้งมวลคือลุงแซมนั้นยังอยากได้เกาหลีใต้ไว้ส่องบ้านพญามังกรและได้ขาย THHADหรือระบบป้องกันขีปนาวุธภาคพื้นดินให้เกาหลีใต้นั่นเองมิใยที่ชาวเกาหลีใต้จะออกมาประท้วงก็ไม่รู้ไม่ดูไม่แคร์
จนกระทั่งลุงทรัมป์จอมคุยโวออกมาพล่ามว่าจะนัดเจออาตี๋คิมอย่างเป็นทางการ ให้ชาวโลกลือลั่นขั้นคว้ารางวัลโนเบลกันไปเลยแต่อาตี๋คิมก็นั่งรถไฟกระฉึกกระฉักไปเขย่ามือกับพญามังกรจีนอย่างเงียบๆเล่นเอาชาวโลกฮือฮาไปรอบนึงแล้วเมื่อเดือนก่อน
บรรยากาศระหว่างสองเกาหลีเริ่มคลี่คลายหลังโอลิมปิกฤดูหนาวที่เกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพ เพราะเกาหลีเหนือส่งนักกีฬามาร่วมแถมมีกาวใจชั้นดีอย่างน้องสาวคนสวยของอาตี๋คิมเป็นคนประสานให้เกิดสัมพันธภาพระหว่างสองเกาหลี จนทำให้อาตี๋คิมได้นั่งดูวง K-Popเต้นอย่างเพลิดเพลิน
แต่เมื่อต้นเดือนเมษายน ลุงทรัมป์ส่งสมุนคู่ใจไมค์ พอมเพว ที่ลุงแกอุ้มลงมาจากตำแหน่งผู้อำนวยการ CIAแล้วอุ้มสมให้นั่งเก้าอี้ตัวใหญ่ไฉไลกว่าเดิมนั่นคือตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ ทั้งที่อีตาไมค์เหยียดมุสลิมและไม่ชอบเพศทางเลือกอย่างชัดเจนแต่ก็นั่นแหละที่ทำให้เป็นคนโปรดของลุงทรัมป์
ลุงส่งไมค์ไปเกาหลีเหนือแถมยังได้เจรจาทางลับกับอาตี๋คิมเป็นชั่วโมงโดยไม่มีไผรู้ว่าสองคนนี้คุยอะไรกันทั้งที่ก่อนหน้านี้ลูกพี่ทรัมป์ของไมค์ยังตะโกนด่าตี๋คิมรัวๆ อยู่เลยสำนักข่าวนั่งเทียนเขียนต่างคาดเดาไปต่างๆ นานาๆ ว่าอาจจะเป็นเรื่องการจัดให้ทรัมป์พูดคุยกับคิมในอนาคตโดยมีข้อแลกเปลี่ยนบางประการ เช่นทรัมป์ยอมลดบทบาทและเลิกยัดเยียด THHAD ให้ชาวบ้านเพื่อแลกกับการที่เปียงยางยอมยุติโครงการนิวเคลียร์
คงต้องย้อนอดีตกันนิดหนึ่งสำหรับคนรุ่นหลัง สองเกาหลีนี้เปิดศึกเพราะชาติตะวันตกนำโดยไอ้ลุงแซมนี่แหละกับเกาหลีใต้กล่าวหาว่าเกาหลีเหนือรุกรานเกาหลีใต้ ในปี ค.ศ.1950 อเมริกาถือหางเกาหลีใต้จนทำให้สองชาตินี้แยกประเทศเป็นเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ตรงเส้นขนานที่ 38
จากนั้นเป็นต้นมาบรรยากาศสองเกาหลีก็อึมครึมเกาหลีเหนือบอกว่าจำเป็นต้องมีนิวเคลียร์เอาไว้ป้องกันตัวจากอเมริกาจากนั้นก็ด่ารัวๆ ว่าไอ้การซ้อมรบระหว่างลุงแซมและโสมขาวคือการเตรียมการรุกรานโสมแดงส่วนโสมขาวซึ่งเป็นลูกหาบผิวเหลืองของลุงแซมก็มีสนธิสัญญาเพื่อการป้องกันร่วมกันปี 1953โดยมีใจความว่าวอชิงตันมีหน้าที่จะต้องเข้าช่วยเหลือโสมขาวหากว่าถูกโจมตี
โสมแดงนั้นโวยอยู่ตลอดว่าให้ลุงแซมถอนทหารออกจากดินแดนโสมขาวรวมทั้งหยุดซ้อมรบกันเสียที ลุงแซมส่งทหารไปประจำการในเกาหลีใต้ถึง28,500 คนโดยอ้างว่ามีไว้เพื่อพิทักษ์คุ้มครองเกาหลีใต้จากการรุกรานของเกาหลีเหนือ
หลังจากไมค์บินกลับบ้าน ท่าทีของอาตี๋คิมก็แผ่วลงทันตาเห็นแถมลุงทรัมป์ออกมาพูดจาอ่อนหวานอวยอาตี๋คิมอย่างเห็นได้ชัดว่าพี่คิมนั้นเป็นคนเปิดกว้างและตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง(แกคงลืมไปแล้วแหละมั้งว่าอาตี๋คิมเรียกแกว่าไอ้แก่โรคจิต)
ในที่สุดก็มาถึงวันประวัติศาสตร์แห่งชาติเกาหลีที่ชาวโลกต่างพากันจ้องตาไม่กระพริบเสื่อสาดลาดปูกันเต็มคาบสมุทรเกาหลีเพื่อดูสองเกาหลีพี่น้องปรองดองกันทั้งคิมจองอึนผู้ไว้ผมและสวมชุดทรงประธานเหมา ฝ่ายโสมแดงกับมุนแจอินผุ้ทรงชุดสูทตะวันตกฝ่ายโสมขาวต่างก็ยิ้มร่ามาพบกันตรงเขตปลอดทหารหรือที่เรียกว่า DMZ
คิมจองอึนเดินข้ามพรมแดนครั้งประวัติศาสตร์จากเขตแดนเกาหลีเหนือมา ยังเกาหลีใต้เพื่อพบปะและจับมือกับนายมุนแจอินบริเวณพรมแดนเกาหลีเหนือ-ใต้ รวมถึงบริเวณหมู่บ้านพันมุนจอมท่ามกลางความชื่นใจของชาวโลกที่ปูเสื่อชมอยู่บนคาบสมุทรเกาหลีพี่คิมยิ้มหวานน่ารักพลางลงนามในสมุดเยี่ยมว่า
“ประวัติศาสตร์หน้าใหม่เริ่มขึ้น ณ ตอนนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุคสมัยแห่งสันติภาพ”
อาตี๋คิมไม่ได้มามือเปล่า แต่เอาบะหมี่มาฝากทั้งนี้เพราะมุนแจอินขอให้บรรจุบะหมี่เย็นของเปียงยางในเมนูของงานเลี้ยงดินเนอร์ และขอให้คิมจองอึนนำบะหมี่เย็นของ Okryu Gwaร้านดังในกรุงเปียงยางมาฝากด้วย อาตี๋คิมเลยหยอดเข้าให้ว่าหวังว่ามุนแจอินจะชอบบะหมี่เย็น
บะหมี่เย็นของเกาหลีเหนือนี้จะถูกนำขึ้นโต๊ะหลังการพูดคุยอย่างเป็นทางการ ผลพวงของบะหมี่อาตี๋คิมทำให้คนเกาหลีพากันต่อแถวยาวเหยียดด้านนอกของร้านอาหารหลายแห่งในโซลที่มีเมนูบะหมี่เย็นสไตล์เกาหลีเหนือขาย
บรรยากาศการพบปะตลอดทั้งวันเต็มไปด้วยรอยยิ้มและมิตรภาพระหว่าง 2 ผู้นำเกาหลีและร่วมลงนามลงนามในปฏิญญาปันมุนจอมเพื่อรับรองจุดหมายร่วมในการทำให้คาบสมุทรเกาหลีปลอดนิวเคลียร์ด้วยการปลดอาวุธนิวเคลียร์อย่างสมบูรณ์แบบ
บรรยากาศชื่นมื่นของเกาหลีนั้นมีลุงแซมตามโหนกระแสมาติดๆ จนทำให้ชาวโลกแอบนึกในใจว่าแม่เป็นชะนีหรือไงถึงโหนกระแสขนาดนั้นคาดว่าคงจะปูไปสู่การพบปะของอาตี๋คิมกับเฒ่าทรัมป์ในอนาคตอันใกล้ที่คุยโวไว้ก่อนหน้านั้นนั่นเอง
แต่จะว่าไปแล้วการที่สองเกาหลีจู่จี๋กันไม่ได้จะรวมชาติแต่อย่างใดทั้งคุ่ยังอยู่ในภาวะสงครามนั่นแหละ เพียงแต่พักรบกันชั่วคราวการที่จะปรองดอมรอมชอมสองเกาหลีต้องขึ้นอยู่กับลุงแซมภายใต้หน้ากากสหประชาชาติ และจีนที่หนุนหลังเกาหลีเหนือ
เรื่องนี้มีอะไรในกอไผ่มากมายนักนาทีนี้ไม่มีคาดเดาได้ว่าอนาคตของสองเกาหลีจะเป็นอย่างไรจะพังครืนเหมือนครั้งก่อนที่พ่อของคิมจองอึน คือคิมจองอิลกับโสมขาวเคยจับมือหวานชื่นกันในปี ค.ศ.2000 และปี ค.ศ. 2007 หรือไม่ไม่มีใครล่วงรู้แต่ตอนนี้คงปล่อยให้ทั้งโสมแดงและโสมขาวนั่งซดบะหมี่เย็นร่วมกันไปพลางๆ ก่อน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี