สำนวนโบราณนั้นแฝงความหมายลึกๆไว้ในความหมายพื้นๆเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะตีความเป็นอะไร อย่างสำนวนที่ว่า “อย่าถ่มน้ำลายรดฟ้า” ก็เช่นกัน ในวัยเด็กผมตีความหรือเข้าใจอย่างหนึ่ง พอเติบโตขึ้นก็เข้าใจไปอีกอย่างหนึ่ง
ในวัยเด็กเมื่อได้ยินสำนวน “อย่าถ่มน้ำลายรดฟ้า” ผมก็นึกถึงภาพคนที่ยืนแหงนหน้าแล้วถ่มน้ำลายขึ้นไปหมายจะให้รดฟ้า แต่สุดท้ายน้ำลายก็ตกลงมาบนใบหน้าของเขาเอง...ตอนนั้นผมคิดแค่ว่าคนที่ทำอย่างนี้คือคนเพี้ยน
เมื่อเติบโตมา ผมก็เข้าใจไปอีกอย่าง...คือ การถ่มน้ำลายรดฟ้าไม่ใช่เรื่องทางกายภาพ หากแต่เป็นเรื่องของ “จิตหรือใจ”
พูดให้ตรงประเด็นก็คือเรื่องของ “สมบัติจิต” ของคนแต่ละคน
แน่นอนว่าสมบัติจิตพื้นฐานนั้นคือ กิเลส ตัณหา และปัญญา ที่สำแดงออกเป็นโลภะ โทสะ โมหะ หรือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ ซึ่งแต่ละคนนั้นมีสมบัติจิตไม่เท่ากัน
สมบัติจิตนี้แหละที่แจกแจง “ระดับ” ของจิตหรือชีวิตของคนๆนั้น
คนที่มีโลภะ โทสะ โมหะมาก สมบัติจิตย่อมต่ำกว่าคนที่ไม่มี และยิ่งต่ำกว่าคนที่มีสมบัติจิตเป็นอาริยะมากขึ้นอีก
การถ่มน้ำลายใส่กันนั้นนับเป็นการดูถูกเหยียดหยาม...การถ่มน้ำลายรดฟ้าจึงเป็นการดูถูกเหยียดหยามฟ้า ฟ้านั้นสูงกว่าคนที่ถ่มน้ำลายอยู่แล้ว สุดท้ายน้ำลายก็ตกลงมารดหน้าตนเอง
คนที่มีสมบัติจิตต่ำจึงไม่ควรคิดร้ายกับคนที่มีสมบัติจิตสูงกว่า เพราะในที่สุดการคิดร้ายนั้นมันจะกลับมาเข้าตนเอง
พอผมเข้าใจอย่างนี้ ผมก็คอยสังเกตผู้คนที่ “กระทำต่อกัน” ทั้งในทางดีและทางร้าย และผมก็เห็นว่า คนที่มีคุณสมบัติจิตต่ำหรือชั่วร้าย เมื่อไปก่นด่าหรือทำร้ายคนที่มีสมบัติจิตสูงกว่า ไม่ว่าจะทำได้สมดั่งใจตนเองหรือไม่ แต่สุดท้ายเขากลับต้องมีอันเป็นไปในทางร้ายเสมอ
ในโลกออนไลน์ผมก็เห็นมาไม่น้อย
และก็มีคนอื่นๆที่เห็นเหมือนกับผมอยู่ไม่น้อย...อย่างคนด่าภิกษุสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ด่าพุทธศาสนา และให้ร้ายพระมหากษัตริย์ (ในหลวงรัชกาลที่ 9) สุดท้ายก็มีอันเป็นไปในทางร้ายทั้งนั้น
เมื่อรู้และเห็นอย่างนี้ผมจึงสงบปากสงบคำมากขึ้น เพราะถ้าด่าใครต่อใครโดยไม่รู้จักเขาจริงว่ามีสมบัติจิตอย่างไร ผมอาจจะต้องรับผลของการด่าร้ายๆนั้นเสียเอง
แม้ผมจะรู้ว่าคนๆนั้นแสนชั่ว ผมก็พยายามจะไม่ด่า แต่วิจารณ์ไปตามเหตุตามผล (บางทีก็เผลอใช้คำแรงๆ เพราะโกรธที่เขาทำชั่ว) เหตุที่ผมไม่ด่าแม้จะรู้ว่าสมบัติจิตของผมสูงกว่าก็เพราะ...ด่าไปแล้วคำด่านั้นก็ฝังอยู่ในใจผมเอง เมื่อด่ามากเข้าก็ยิ่งตอกย้ำสมบัติจิตของผมให้แย่ลงตามคำด่านั้น สุดท้ายสมบัติจิตของผมนั่นแหละที่ตกต่ำ
แย่กว่านี้ การด่ากันนั้นยิ่งเพิ่มคำรุนแรงทั้งในใจเราและคนที่ได้ยินเราด่า เมื่อด่ากันไป - มา ความรุนแรงก็ยิ่งเพิ่มพูนแพร่กระจายอยู่ในสังคม กลายเป็นสังคมแห่งความรุนแรง และจะนำไปสู่การทำลายล้างกันในที่สุด
แย่ยิ่งกว่าแย่ก็คือ เราจะไม่คิดถึงเหตุผล ไม่มีเหตุผล เพราะด่ากันจนเคยปาก มีอะไรไม่พอใจ – ไม่ถูกใจก็ด่าไว้ก่อน สุดท้ายทั้งสมบัติจิตเราและเขา รวมทั้งสังคมก็ตกต่ำ
สมบัติจิตนั้นเป็นเรื่องของ “กุศลและอกุศล” ของจิต
เป็นเรื่อง “กรรมและวิบาก”
พุทธศาสนาจึงย้ำเสมอว่า “จงคิดดี พูดดี ทำดี” แล้วชีวิตเราจะดี
เราคิด เราพูด เราทำอย่างไร เราจะเป็นอย่างนั้น...เมื่อเราทำบ่อยๆ มันจะกลายเป็นพฤติกรรม เมื่อมากเข้าก็กลายเป็นนิสัย เมื่อหมักหมมมากขึ้นอีกก็กลายเป็นสันดาน(อนุสัย) จากนั้นก็จะกลายเป็นบุคลิกภาพ และเป็นชะตากรรมในที่สุด
ชีวิตเราจะดีหรือร้าย ทุกข์หรือสุข (ชะตากรรม) ล้วนเริ่มต้นที่การคิด – การพูด – และการกระทำทั้งสิ้น ดังนั้นเราจึงต้องระวังความคิดไว้เสมอ
พุทธศาสนาเตือนว่า “อย่าประมาท” ซึ่งก็คือ “จงมีสติ”
เมื่อเรามีสติ การคิด การพูด และการกระทำของเราจะเป็นไปในทางที่ดี และเป็นการบ่มเพาะสมบัติจิตที่ดีและสูงขึ้นของเรา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี