พระราชาพิธีบรมราชาภิเษกนั้นยิ่งใหญ่อลังการ เป็นการสื่อสัญลักษณ์และภาพลักษณ์ที่หลากหลาย ที่ล้วนประกาศถึงพระบารมีและพลังแห่งความมุ่งมั่นที่จะอำนวยการสร้างสรรค์ประเทศไทยให้รุ่งเรืองและมี
คุณค่า...ในฐานะประมุขของประเทศ
“หัวใจ” หรือ “แก่นสาร” ของงานราชพิธีครั้งนี้ก็คือ พระปฐมบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว...
"เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป"
นี่คือ “พันธะสัญญา” ของพระมหากษัตริย์ที่พระราชทานไว้กับปวงชนชาวไทย
ดังนั้น...งานพระราชพิธีอันยิ่งใหญ่อลังการนี้จึงเป็นการตอกย้ำพันธสัญญาดังกล่าว ให้ประชาชนได้แน่ใจ มั่นใจ ส่วนชาวโลกก็ได้รับรู้และเป็นเสมือน “สักขีพยาน” ไปพร้อมกัน
ในโลกแห่งการล่าอาณานิคมยุคใหม่นี้ เป็นการล่าที่บ้าคลั่งกว่าการล่าอาณานิคมในยุค “เรือปืนและศาสนา” ยุคนี้เป็นการล่าโดยใช้คนในชาตินั้นๆเป็นเครื่องมือ ใช้เงินช่วยเหลือด้านต่างๆเป็นอาวุธ และใช้กลยุทธ์แบ่งแยกแล้วปกครอง ซึ่งยุคไหนๆก็ยังคงใช้ได้อย่างมีประสิทธิผลเสมอมา
คนในชาติเองเมื่อต้องการอำนาจก็ใช้วิธีเดียวกัน “แบ่งแยก - แบ่งฝ่าย” ในนามของประชาธิปไตยกับเผด็จการ ในนามของความเป็นธรรมกับความอยุติธรรมในสังคม ในนามของความก้าวหน้ากับความล้าหลัง และอีกสารพัดเหตุผล
ผมไม่ได้เห็นว่าสภาพสังคมไทยทุกวันนี้ “ดีแล้ว”
ตรงกันข้ามยังมีอีกมากมายหลายเรื่องที่ต้องแก้ไข ปรับปรุง และสร้างสรรค์ใหม่ โดยเฉพาะปัญหาเรื่องความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ ที่เราเรียกกันว่า “รวยกระจุก จนกระจาย” กับปัญหาสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศในประเทศไทย
ไม่ว่าจะย้อนหลังไปกี่ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจฯทุกฉบับ ต่างก็มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจเป็นหลัก แทบจะไม่เห็นความสำคัญของการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศเลย
ส่วนเราในฐานะพลเมืองก็เรียกร้องแต่ความเป็นธรรมในสังคม แต่เรียกร้อง “ความเป็นธรรมในระบบนิเวศ” และลงมือกระทำให้ปรากฏผลอย่างจริงจังน้อยมาก
ต่อให้ประเทศไทยมีความเป็นธรรมในสังคม (เรื่องของมนุษย์) แต่ถ้าไม่มีความเป็นธรรมในระบบนิเวศ (โลกธรรมชาติ) สังคมมนุษย์ก็อยู่ไม่ได้
จะเอาอะไรกิน จะเอาอะไรใช้ จะเอาอะไรมาผลิตเป็นของกิน ของใช้ และจะอยู่กันอย่างไรท่ามกลางวิกฤติของดิน น้ำ ไฟ ลม และวิญญาณ?
เมื่อการเมืองเรื่องชิงอำนาจและผลประโยชน์ เข้ารุมเร้าบ่อนเซาะทั้งภายในประเทศและจากนอกประเทศ จนสังคมไทยแตกออกเป็นฝักฝ่าย กับปัญหาชีวิตความเป็นอยู่ของคนทั่วไปที่ยังไม่มั่นคงอย่างทุกวันนี้ ผมจึงไม่เชื่อว่า “นักการเมือง” จะสามารถนำพาประเทศไทยให้อยู่รอดปลอดภัยได้ตามลำพัง เพราะนักการเมืองส่วนมากนั้นมักจะเห็นประโยชน์ตนมากกว่าประโยชน์ของประเทศชาติ...อย่างที่เห็นกันมามากแล้ว
ในช่วง 10 ปีมานี้...ก็นักการเมืองอีกนั่นแหละที่พยายามสร้างความแตกแยกในสังคมไทย เสี้ยมให้คนไทยเข่นฆ่าทำลายล้างกัน เมื่อตัวเองยังไม่ได้อำนาจก็ดึงเอาพวกต่างชาติเข้ามาช่วยซ้ำเติม “ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน” จนคนที่รู้ลึกตื้นหนาบางของการล่าอาณานิคมยุคใหม่วิตกไปตามๆกัน เกรงว่าประเทศไทยจะถูกกระทำให้เหมือนกับซีเรียหรือเวเนซุเอล่า เป็นต้น
นักการเมืองบางส่วนนั้นชอบสร้างความแตกแยก (ขออภัยนักการเมืองที่ดี) แต่พระมหากษัตริย์และสถาบันพระมหากษัตริย์เรียกร้องให้คนในชาติสามัคคีกัน (กระนั้นก็ถูกกระทำให้เป็นคู่ขัดแย้งไปด้วย)
ผมจึงไม่วางใจ ไม่เชื่อใจนักการเมืองบางส่วนว่าจะไม่ทรยศต่อประเทศชาติ เพื่อผลประโยชน์หรืออุดมการณ์เฉพาะของตน และนักการเมืองนั้นเข้ามาเสวยอำนาจแล้วก็ไป ไม่ต้องรับผิดชอบกับการกระทำของตน ไม่ว่าดีหรือชั่ว แต่กษัตริย์กลับต้องยืนหยัดรับผิดชอบต่อประเทศชาติจนลมหายใจสุดท้าย
สังคมนี้หรือสังคมไหนก็ไม่ได้ดีพร้อม แต่สิ่งดีที่สังคมไทยมีและสามารถจะนำพาสังคมไทยให้อยู่รอดปลอดภัยต่อไปได้ก็คือ “ศูนย์รวมความรักสามัคคี” ของคนส่วนใหญ่ทั้งประเทศ
ที่ใดมีความรักสามัคคีที่นั่นแข็งแกร่ง
ที่ใดมีความแตกแยกที่นั่นพ่ายพังไปก่อนแล้ว
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี