“พิธีกรรมเลือกตั้ง” ได้ยอมรับนับถือกันทั่วโลกมานานแล้วว่า “เป็นระบอบประชาธิปไตย” แต่กระนั้นมันก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มี “ระบอบเผด็จการ” ในกระบวนการของมัน นั่นคือ “ระบอบเผด็จการรัฐสภา” อย่างที่ประเทศได้เผชิญมาแล้วในยุคทักษิณเรืองอำนาจ
และผมก็เชื่อว่าไม่ใช่มีแต่เพียงประเทศไทยที่มีเผด็จการรัฐสภา จึงมีคนจำนวนมาก รวมทั้งนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ในต่างประเทศออกมาพูดประเด็นนี้อยู่เนืองๆ (ที่จริงอาจจะพูดอย่างจริงจังต่อเนื่องมานานแล้ว แต่ผมได้อ่านเพียงเล็กน้อยเอง) เพราะการออกแบบระบอบประชาธิปไตยนั้นเปิดช่องให้มีปัญหามาตลอด ตั้งแต่การซื้อเสียง การใช้อิทธิพล การข่มขู่ การหลอกลวงผู้เลือกตั้ง การโกงในหน่วยเลือกตั้ง เมื่อฝ่ายที่ชนะการเลือกได้เป็นรัฐบาล ก็ยึดอำนาจสั่งการตามใจตน โดยใช้ช่องว่างของกฎหมายบ้าง ครอบงำสภานิติบัญญัติให้ออกกฎหมายตามใจตนบ้าง
แต่ทั้งที่ “ตัวระบอบ” มีและสร้างปัญหามากมายอย่างนี้ แต่ก็ยังไม่มีใครสร้างระบอบใหม่ที่ดีกว่าได้
สิ่งที่เราทำได้ก็คือ บอกว่า “ปัญหามันอยู่ที่คน” (ซึ่งผมก็เห็นด้วย)...ทั้งคนเลือกตั้งและคนที่เสนอตัวรับเลือกตั้ง
เกือบหนึ่งร้อยปีในประเทศไทย เราไม่เคยสร้างคนให้มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับระบอบประชาธิปไตยได้เลย
ตรงกันข้าม...กลับมีคนที่ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับระบอบประชาธิปไตยมากขึ้นทุกที
ผมจึงเห็นว่า...ระบอบการปกครองดีที่สุดในโลกนั้นพินาศไปนานแล้ว...และไม่สามารถกู้กลับคืนมาได้อีก
นั่นคือ "ระบอบสามัคคีธรรม" ซึ่งมีอยู่ในสมัยพุทธกาล
พินาศโดย “วัสสการพราหมณ์” ที่เข้าไปยุแยงแบ่งแยกบรรดากษัตริย์ลิจฉวีให้แตกสามัคคี (สามัคคีเภท) จากนั้นกษัตริย์ของเมืองตนก็ยกทัพเข้ายึดแผ่นดินลิจฉวีได้อย่างง่ายได้
วัสสการพราหมณ์นั้นต้องถือว่า “เป็นนักการเมืองต้นแบบ” ในด้านที่ชั่วร้ายฉ้อฉล ซ้ำตะแกยังแพร่กระจายสายพันธุ์หรือ “ดีเอ็นเอ.” สู่รุ่นลูก หลาน เหลน โหลน ฯลฯ ไปทั่วโลก... มาจนถึงวันนี้
(ส่วนสายพันธุ์หรือดีเอ็นเอ. ของบรรดากษัตริย์ลิจฉวีนั้นดับสูญนับแต่ครั้งพุทธกาลแล้ว!)
ในประเทศไทยก็มีสายพันธุ์หรือดีเอ็นเอ. ของวัสสการพราหมณ์มานานแล้วเช่นกัน หลักฐานที่ชัดเจนและได้รับการบันทึกไว้ (ทั้งจริงและปลอม) ก็ในสมัยรัชกาลที่ 7 จากนั้นก็มีการแพร่กระจายสายพันธุ์มาจนถึงทุกวันนี้
คือ - มีการยุงแยงแบ่งแยกประชาชนออกเป็น 2 ฝ่ายให้เป็นศัตรูกัน ไม่ไว้วางใจกัน และเข้าทำลายล้างกัน เพื่อว่าฝ่ายตนจะได้เสวยอำนาจ
พวกหัวโจกเป็นใครบ้างก็รู้กันดี
ระบอบประชาธิปไตยที่วาดฝันไว้งามเลิศและให้สัญญากับประชาชนที่ยึดถือมันเป็นไว้สรณะ จึงเป็นแค่พื้นที่แห่งการแย่งชิงอำนาจกันของบรรดาคนที่กระหายอำนาจ
โดยมีประชาชนเป็นเครื่องมือ...ที่พร้อมจะเข้าเข่นฆ่าทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน รอเพียงอารมณ์ที่ร้อนเร่าถูกปั่นให้เป็นพายุเท่านั้น
ผมไม่ได้หมายความว่า เมื่อระบอบประชาธิปไตยมีและสร้างปัญหา จึงสนับสนุนให้มีระบอบเผด็จการนะครับ ตรงกันข้าม ผมปฏิเสธระบอบเผด็จการทุกรูปแบบ (ผมไม่มีความสามารถจะทำอะไรได้มากกว่าการปฏิเสธ) และก็มองไม่เห็นว่าจะมีระบอบอะไรที่เลวร้ายน้อยกว่าระบอบประชาธิปไตย (อย่างที่คนทั่วไปพูดกัน)
จะบอกว่านำระบอบสามัคคีธรรมมาใช่เถอะ ก็บอกไม่ได้แล้ว ไม่มีใครฟัง เพราะเป็นสิ่งล้าหลังหลุดโลก กลายเป็นซากฟอสซิลไปแล้ว
สุดท้ายก็ต้องกลับมาที่ “ตัวคน” ทั้งตัวคนเลือกตั้งและคนสมัครรับเลือกตั้ง ว่าต้องสร้างคนที่มีสำนึกประชาธิปไตยขึ้นมา
แต่ใครหรือสถาบันไหนจะสร้างเล่า?
กระทรวงศึกษาธิการหรือ?
หรือว่าผู้หลักผู้ใหญ่จะต้องประพฤติตนเป็นตัวอย่าง?
และเราจะหาคนที่มีคุณสมบัติและมีจิตสำนึกประชาธิปไตยที่ไหนมาสอน - มาประพฤติตนเป็นตัวอย่าง?
สุดท้าย...เราก็วนเวียนอยู่ในวังวนแห่งระบอบประชาธิปไตยแบบเดิมต่อไป!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี