ท่ามกลางสถานการณ์ความวุ่นวายในฮ่องกง ชาวโลกต่างก็จับตามองว่าจะลงเอยอย่างไร อยู่ๆ ก็มีข่าวฮือฮาพร้อมภาพหลุดว่า อาตี๋ตาขวางที่หน้าเหมือน เนเน่ เนติวิทย์ ราวกับพี่น้องฝาแฝด โจชัว หว่อง และบรรดาแกนนำกลุ่มร่มเหลืองอย่างนาธาน เหลา ตอดไปพบจูลี อีดาห์ เจ้าหน้าที่กงสุลสหรัฐฯ หัวหน้าแผนกกิจการด้านการเมืองกลางโรงแรมแห่งหนึ่ง ท่ามกลางม็อบที่กำลังประท้วงกันหน้าเขียวหน้าเหลือง
อย่าเพิ่งคาดเดาว่าจะเป็นภารกิจลับเหมือนอดีตผู้นำไทยไปโฟร์ซีซั่น หรือล่าสุดแกนนำชูสามนิ้วและนักการเมืองไทยที่แอบไปพบกันในโรงแรม แล้วสนทนาภาษาประชาธิปไตยกันดังลั่นคลิป กรณีของโจชัว หว่องที่กลายเป็นประเด็นข่าวคือ ทำไมโจชัว หว่องถึงไปยืนกุมไข่ไหล่ห่อต่อหน้าแม่นางจูลี อีดาห์ คนนี้ได้ ในวาระหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนั้น นางคนนี้เป็นเจ้าหน้าที่ด้านการทูตระดับสูงที่พูดและเขียนจีนได้ แถมทำงานด้าน “สิทธิมนุษยชน” เป็นหลักอีกด้วย
ก่อนหน้านี้รัฐบาลพญามังกรชี้นิ้วใส่ลุงแซมรัวๆ ว่า ยูอยู่ข้างหลังหนุ่มสาวฮ่องกงให้ลุกมาต่อต้านสร้างปัญหาให้ไอ แต่พูดให้ปากฉีกถึงหู ลุงแซมก็เฉยพลางทำหน้ากวนตีน ไม่รู้ไม่ดูไม่แคร์ แถมเย้ยให้เอาหลักฐานมาประกอบด้วย พอมาถึงกรณีภาพหลุดตำตาที่ว่า ทางปักกิ่งก็ยังขอให้ลุงแซมชี้แจงว่า
“อาลุงแซม ลื้อช่วยอธิบายมาหน่อยซิว่านี่คืออาราย ไหนบอกว่าไม่ได้เสี้ยมไม่ได้แอบอยู่ข้างหลังม็อบฮ่องกงไง”
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่เป็นประเด็นที่ชาวโลกต่างสงสัย กระทรวงการต่างประเทศของจีนขอให้รัฐบาลอเมริกันอธิบายว่าภาพนั้นหมายความว่าอย่างไร มิเช่นนั้นจะสรุปว่าอเมริกาแทรกแซงกิจการภายในของฮ่องกง จนเกิดการลุกฮือประท้วงและก่อการจลาจลวุ่นวายขายปลาช่อนมาวันนี้เป็นความจริง
นอกจากนี้พญามังกรยังเรียกร้องสถานกงสุลสหรัฐฯ ให้สลัดทิ้งพวกก่อจลาจลต่อต้านจีนทั้งหลายและหยุดแทรกแซงกิจการภายในของฮ่องกงในทันทีเช่นกัน
แค่ถามเบาๆ แต่ลุงแซมก็เว้งแตกลั่นโลก คาดว่าคงโดนจับโป๊ะแตกก่อนเลยพาลปริ๊ดแตก แผดเสียงด่าอาเฮียว่า
“ลื้อนี่ใช้ไม่ได้ ไม่มีอะไรในกอไผ่เลยนี่หว่า ลื้อนี่มันเป็นอันธพาลชัดๆ”
อ้าว..โดนจับโป๊ะแตกเองแต่กลับไปด่าอาเฮียแกอีกนะ ยังไม่หมดเท่านี้ ขอเล่าขยายความนิดหนึ่งว่าพญามังกรมีสิทธิ์สงสัย เพราะวันก่อนเพิ่งประณามจิมมี ไหล่ หรือหลีจื้ออิง ว่าเป็น "คนขายชาติแซ่หลี"
หมอนี่คือใคร หลายคนคงอยากรู้ หลีจื้ออิงเป็นเจ้าของบริษัท Next Media เจ้าของสื่อ Apple Daily ที่ด่ารัฐบาลจีนและเชียร์ฝ่ายโจชัว หว่องตลอด วันดีคืนดีคนแซ่หลีก็โพล่งออกมากลางเวทีสัมมนาของ Foundation for Defense of Democracies ว่า อเมริกาคือผู้อยู่เบื้องหลังการต่อต้านจีนในฮ่องกง ย้อนหลังกลับไปนิดหนึ่ง ตอนที่เกิดการประท้วงใหญ่เมื่อปี 2014 หรือการประท้วงร่มเหลือง หลีจื้ออิงคือผู้ชักใหญ่อยู่เบื้องหลังการชุมนุมใหญ่ต่อต้านรัฐบาลปักกิ่งครั้งนั้น
รัฐบาลจีนเคยเรียกผู้แทนสหรัฐฯ ประจำกรุงปักกิ่งเข้าพบ เพื่อยื่นหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการต่อคำแถลงของรัฐบาลกรุงวอชิงตัน ในกรณีที่เกี่ยวกับการประท้วงในฮ่องกง เพราะตั้งแต่เริ่มก่อม็อบ ลุงแซมก็เสนอหน้ามาสนับสนุนตลอดในนามของประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพตามแบบที่เราชินตานั่นแหละ แถมแนะอาเฮียที่ปักกิ่งให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่เหตุการณ์ละเมิดสิทธิมนุษยชนในบ้านตัวเองกลับไม่เคยแก้ปัญหา
สื่อจากจีนแผ่นดินใหญ่ระบุว่า รัฐบาลอเมริกาปากว่าตาขยิบ ด้านหนึ่งเรียกร้องให้ยุติความรุนแรงราวกับว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ แต่ลับหลังกลับยั่วยุให้การประท้วงลุกลามตั้งแต่แรกก่อม็อบ
ฮ่องกงเป็นอาณานิคมของอังกฤษตั้งแต่ปี 1841 จนกระทั่งได้รับเอกราชเมื่อถูกส่งมอบคืนให้แก่จีนในปี 1997 ฮ่องกงจึงมีสถานะกึ่งปกครองตัวเอง ภายใต้หลักการ "หนึ่งประเทศ สองระบบ" โดยฮ่องกงมีรัฐธรรมนูญของตัวเอง มีสภานิติบัญญัติของตัวเอง มีระบบเศรษฐกิจของตัวเอง และใช้เงินสกุลดอลลาร์ฮ่องกง แต่รัฐบาลจีนควบคุมด้านกิจการกลาโหมและต่างประเทศ ประชาชนของทั้งสองฝ่ายต้องใช้วีซ่าหรือขออนุญาตเมื่อต้องเดินทางข้ามแดน
การประท้วงครั้งใหญ่ที่เริ่มลุกลามในเวลานี้ เริ่มต้นจากความไม่พอใจกฎหมายเกี่ยวกับการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ที่เปิดทางสามารถส่งตัว ‘ผู้ต้องสงสัย’ ที่ก่อคดีไปให้เจ้าหน้าที่พิจารณาคดีที่จีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งทางการฮ่องกงชี้แจงว่า จะการพิจารณาป็นกรณีๆ ไป แต่ม็อบฮ่องกงมองว่า นี่เป็นใบเบิกทางที่จะทำให้จีนเข้ามามีอิทธิพลครอบงำฮ่องกงได้โดยง่าย อีกทั้งคนฮ่องกงไม่เชื่อในกระบวนการยุติธรรมแบบจีนแผ่นดินใหญ่ แม้ว่าแคร์รี แลม ผู้บริหารเกาะฮ่องกงยืนยันว่าจะไม่เป็นแบบนั้นก็ตาม
ในวันครบรอบ 22 ปีที่อังกฤษส่งมอบฮ่องกงคืนให้จีน มีผู้ประท้วงหลายร้อยคนบุกพังประตูหน้าต่างเข้าไปในอาคารสภานิติบัญญัติฮ่องกง ทำลายทรัพย์สิน เขียนข้อความประท้วงเอาไว้ตามผนัง ตลอดจนรื้อค้นข้าวของกระจุยกระจาย
การชุมนุมตอนนี้ยิ่งลุกลามกระจายไปทั่ว ไม่ว่าจะที่สนามบิน สถานีรถไฟ หรือสถานที่ต่างๆ ปะทะกันนัวเนียระหว่างม็อบสองฝั่ง ทั้งฝั่งประชาชนด้วยกันและประชาชนกับตำรวจ ความต้องการของผู้ประท้วงคือเรียกร้องให้ถอนร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนอย่างเต็มรูปแบบ และการไต่สวนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการจับกุมผู้ประท้วง
ความขัดแย้งยังได้ลามออกนอกประเทศอีกด้วย เช่น ที่มหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ในออสเตรเลียเกิดการปะทะกันระหว่างนักศึกษาชาวจีนแผ่นดินใหญ่และนักศึกษาฮ่องกงในมหาวิทยาลัย ด้วยมูลเหตุเดียวกับการประท้วงในฮ่องกงนั่นเอง
การแสดงออกบางอย่างของผู้ประท้วงแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เช่น ปาธงฮ่องกงลงไปในอ่าว การโบกธงชาติอังกฤษ และการโบกธงชาติอเมริกัน รวมทั้งชูป้ายเรียกร้องให้ประธานาธิบดีของอเมริกามาช่วยปลดปล่อยตนออกจากจีน
ภาพที่เห็นอาต่อาหมวยโบกธงชาติอเมริกา พลางชูป้ายเรียกหาทรัมป์นี่ตอนแรกนึกว่าภาพตัดต่อ บ้างก็โบกธงชาติอเมริการ้องเพลงชาติอเมริการาวกับเกิดในรัฐทั้ง 50 ของอเมริกา แต่ทั้งหมดนี้คือ ภาพจริงเหตุการณ์จริง อดนึกไม่ได้ว่าหรือฮ่องกงกลายเป็นรัฐที่ 51 ของอเมริกาไปแล้ว หนักกว่านั้นคือถือป้ายชูสลอนบอกโลกว่า “คนฮ่องกงไม่ใช่คนจีน”
บรรดาผู้ประท้วงต่างตะโกนว่า “พลิกฟื้นฮ่องกง” เพื่อบอกว่าต้องการฟื้นฟูอดีตของฮ่องกง แต่ว่าอดีตของฮ่องกงนั้นคือ “อาณานิคม” นี่คืออดีตที่น่าโหยหาอย่างนั้นหรือ
หนุ่มสาวฮ่องกงเหล่านี้แหละคือจีนจริตฝรั่ง คงลืมตัวไปแล้วว่ากินโจ๊กตอนเช้าและกินบะหมี่ตอนเย็น ไม่ได้กินสเต็กเป็นมื้อค่ำ นี่คือผลพวงที่อยู่ใต้อาณานิคมอังกฤษมายาวนาน จนลืมไปแล้วว่าตนนั้นแม้จะมีชื่อแบบฝรั่งเก๋ไก๋ แต่ต่างก็ใช้แซ่ เช่นเดียวกับจีนแผ่นดินใหญ่ หากเปรียบให้เห็นภาพ พวกนี้เหมือนเด็กร้องไห้งอแง แผดเสียงร้องจะเอาของเล่นกลางห้าง แม้พ่อแม่ปลอบดีๆ พูดดีๆ ก็ไม่ฟัง กลับยิ่งออกฤทธิ์ออกเดช อาม้ากับเตี่ยเลยต้องฟาดก้นป้าบเข้าให้เป็นการสั่งสอน
อาตี๋อาหมวยคงลืมไปแล้วว่า ระหว่างที่อังกฤษปกครองฮ่องกงในฐานะเจ้าอาณานิคม คนฮ่องกงตอนนั้นไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะลุกขึ้นมาประท้วงแม้แต่หนเดียว
นาทีนี้แกนนำม็อบอย่างโจชัว หว่องหาทางหนีทีไล่ให้ตัวเองเรียบร้อยแล้ว หากจะให้เดาคือการขอลี้ภัยไปอเมริกา เดาได้เลยว่าจากนี้ไป ม็อบจะยิ่งลุกลามทวีความรุนแรงขึ้นจนมีเสียชีวิตและบาดเจ็บ เพื่อให้โลกประณามทางการจีนที่กำลังถูกบีบให้ต้องใช้ความรุนแรงในการสลายม็อบ
จีนจริตฝรั่ง..ใครอยู่ข้างหลัง หาคำตอบได้ไม่ยาก เอ้า ขอยกอีกเหตุการณ์หนึ่งมาประกอบ เมื่อสองปีก่อน แอฟริกาใต้ออกมาชี้หน้าลุงแซม ด่าเสียงดังลั่นโลก ว่าเข้าไปแทรกแซงการเมืองภายในของแอฟริกาใต้ นายจีเวเด มานตาเช เลขาธิการพรรคเอเอ็นซีระบุว่า สถานทูตสหรัฐเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมหลายครั้งเพื่อหารือเกี่ยวกับการเปลี่ยนรัฐบาลในแอฟริกาใต้ ในลักษณะที่คล้ายกับอาหรับ สปริงเพื่อต้องการเปลี่ยนรัฐบาลในลิเบียและอียิปต์ โดยตามแผนจะใช้กลุ่มคนหนุ่มสาวเป็นผู้ยุยงปลุกปั่นให้เกิดการลุกฮือ มีโครงการนำคนหนุ่มสาวไปสหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 6 สัปดาห์ แล้วนำกลุ่มคนเหล่านี้กลับประเทศ และนำไปประจำการอยู่ทั่วทุกแห่ง
อดนึกถึงบรรดานักสู้ชูสามนิ้วกลุ่ม “เราคือเพื่อนกัน” ทั้งหลาย อาจารย์หาวิทยาลัยหรือเอ็นจีโอรวมถึงสื่อมวลชนบางกลุ่มที่รับ “ทุน” และ “แนวคิด” ที่ลุงแซมยัดใส่มือมาให้จัดการกับคนบนแผ่นดินเดียวกัน คนเหล่านี้นำเสื้อสูทยี่ห้อ “ประชาธิปไตย” มาสวมใส่ด้วยความคิดว่า ใส่เสื้อตัวนี้ดีกว่าใส่เสื้อกล้ามหรือผ้าขาวม้าเป็นไหนๆ ทั้งที่เสื้อสูทก็ตัวโคร่งๆ ไม่ค่อยพอดีตัวเรานัก แต่เป็นที่ดีของวิเศษ เพราะมาจากมือลุงแซม โดยหารู้ไม่ว่าเสื้อสูทยี่ห้อนี้ ลุงแซมแกใช้ผ้าห่อศพมาฟอกสีใหม่หลอกตาให้หลงใหลได้ปลื้มในเปลือกเท่านั้นเอง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี