วันอังคาร ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

ช่วงนี้กระแสกัญชากำลังมาแรงในเมืองไทย แม้ว่าหมอหนูจะยืนยันว่ากัญชานั้นมีประโยชน์มหาศาลทางการแพทย์ แต่บรรดาสายควันก็ฝันถึงกัญชาเพื่อนันทนาการหรือสามารถปลูกได้บ้านละ 6 ต้น คงกะว่าจะพี้กันให้เพลิดเพลินเจริญใจ
ว่าตอนนี้นโยบายกัญชาเสรีจะยังอยู่ในขั้นตอนดำเนินการที่เพิ่งเตาะแตะ แต่เรารู้จักกัญชามานานแล้ว คนสมัยก่อนสูบกัญชากันเป็นบ้องที่ทำมาจากไม้ไผ่ประดับเหรียญตราเหรียญกล้าหาญมากมาย สูบแล้วตาเยิ้มเลิ้มหาของหวานอย่างถั่วตัด มันเชื่อม หรือนมเย็นหวานจัดๆ ใครที่ไม่มีบ้องกัญชาก็ใช้ขวดแชมพูอย่างแฟซ่ามาดัดแปลงทำบ้อง แต่ต้องล้างฟองออกให้หมดก่อน ไม่งั้นสูบแล้วหงายหลังตึง เพราะเต็มไปด้วยฟอง ขาพี้สายควันจะมีเขียงน้อยไว้ซอยกัญชา ซึ่งต้องแยกใบออกจากเมล็ด ยิ่งพวกที่สูบพันลำยิ่งต้องซอยระมัดระวัง เพราะเมื่อเมล็ดประทุไฟ อาจพุ่งใส่หน้าใส่เสื้อผ้าได้
จริงๆ แล้ว ชาวโลกรู้จักกัญชามานานกว่าสามพันปี ย้อนไปถึงสามพันปีก่อนคริสตกาลนั่นเลยทีเดียว เพราะนักสำรวจพบเถ้าเมล็ดกัญชาในหลุมฝังศพที่ไซบีเรีย คนจีนเองก็ใช้กัญชาเป็นยามานานนับพันปี ไอ้พืชตัวนี้จะต้องมีคุณสมบัติพิเศษนั่นแหละ ถึงทำให้ผู้คนยุคโบราณรู้จักและนำมาใช้ แม้ว่าปัจจุบัน สถานภาพของกัญชาในหลายประเทศคือสิ่งเสพติดประเภทหนึ่งก็ตาม
หลายประเทศกำลังทบทวนกฎหมายเกี่ยวกับกัญชา เช่น ในอุรุกวัยมีการลงคะแนนเสียงให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมาย ขณะที่ในอิสราเอล แคนาดา และเนเธอร์แลนด์มีโครงการใช้กัญชาในทางการแพทย์ และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลายประเทศออกฎหมายอนุญาตให้ครอบครองกัญชาได้
ส่วนในอเมริกานั้น มีการอนุญาตให้นำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายถึง 23 รัฐ เรียกว่าเกือบครึ่ง เพราะอเมริกามีทั้งหมด 50 รัฐ แต่ละรัฐมีกฎหมายและรายละเอียดแตกต่างกันออกไป บางรัฐอนุญาตให้ใช้ทางการแพทย์ บางรัฐอนุญาตให้สูบได้โดยเสรี ส่วนบางรัฐนั้นไม่อนุญาตเลยทั้งสองแบบ
รัฐที่อนุมัติให้สูบกัญชาเพื่อหย่อนใจได้มี 9 รัฐ โดยไม่ต้องมีเหตุผลทางการแพทย์รองรับ คือ รัฐอะแลสกา, แคลิฟอร์เนีย, โคโลราโด, เมน, แมสซาชูเซตส์, เนวาดา, ออริกอน, วอชิงตัน และวอชิงตัน ดี.ซี. ส่วนรัฐอินเดียน่าที่ฉันอยู่นั้นไม่อนุญาตทั้งการนำมาใช้ทางการแพทย์และสันทนาการ
ในอเมริกา กัญชามีชื่อเล่นหลายชื่อ มะริกันชนเรียก “เมรี่เจน” บ้าง กราสบ้าง หรือบางทีก็เรียกว่าพอตที่แปลว่าหม้อ แล้วเรียกบ้องกัญชาว่า “บอง” เลยอดคิดไม่ได้ว่า ฝรั่งอเมริกันคงไปพี้เนื้อในไทยแล้วหยิบเอาคำว่า “บ้อง” มาใช้เรียกอุปกรณ์แสนบันเทิง
ส่วนบรรดาขาพี้นั้นเรียกชื่อเก๋ไก๋ว่าพวกสโตนเนอร์ และเรียกอาการเคลิ้มได้ที่ว่า “สโตน” จริงๆ ศัพท์พวกนี้ถือว่าโบราณแล้ว สำหรับมะริกันวัยรุ่น แต่ก็ที่เข้าใจอันดี ยังมีศัพท์บางตัวที่เป็นสำนวนเปรียบเทียบ เช่น “ลอยสูงเหมือนว่าว” หากใครบอกว่าตัวเองกำลังลอยสูงเหมือนว่าวคือกำลังได้ที่เลยทีเดียว อีกคำที่ใช้เรียกพวกสายควันคือ “หัวหม้อ” พ็อตเฮด
สแลงยอดฮิตอีกคำเกี่ยวกับกัญชาคือ 420 บรรดาขาพี้ทั่วโลกต่างยิ้มย่องผ่องใสเมื่อเห็นนัมเบอร์นี้ความหมายของ 420 คือการนัดหมายรวมตัวมาสูบกัญชาในวันที่ 20 เดือนเมษายน เวลา 4 โมง 20 นาที สิงห์อมควันมะริกันจะมารวมตัวกันสูบกัญชาในสถานที่เปิดกว้าง ไม่ว่าจะเป็นกลางทุ่ง ภูเขาหลังโรงเรียน หรือแม้แต่สนามฟุตบอลของมหาวิทยาลัยในอเมริกานั่นเอง นอกจากขาพี้จะมารวมตัวกันตามกำหนดนัดหมายแล้ว ยังมีกิจกรรมมากมาย
รหัสลับฉบับควันนี้มีที่มา เรื่องนี้ย้อนกลับไปในปี 1971 เพื่อนซี้ไฮสกูล 5 คน คือสตีฟ แคปเปอร์, เดฟ เรดดิซ, เจฟฟี่ โนเอล, ลาลี่ ชวาทซ์, และมาร์ก กราวิช โรงเรียนมัธยมซานราฟาเอล รัฐแคลิฟอร์เนีย ไอ้กลุ่มเด็กเกรียนพวกนี้เรียกตัวเองว่า “ วอลโดส์” (Waldos) เ พราะมักนัดพบกันตรงกำแพง เรียกแบบบ้านๆ คือ “ไอ้เด็กริมกำแพง” นั่นแหละ แนวๆ เด็กหลังห้อง ทำนองนี้
วันหนึ่ง ทั้งกลุ่มได้ข่าวลับข่าวลือว่ามีไร่กัญชาร้างอยู่แถวในเมือง พอดีได้จังหวะเหมาะเจอกะลาสีคนหนึ่งสมอ้างว่าตนนั้นเป็นคนดูแลกัญชาพวกนั้น แต่คงไม่มีโอกาสได้ดูแลแล้ว เพราะต้องออกเรือไปไกล เด็กหนุ่มทั้งห้าอาสาว่าจะไปดูแลต้นกัญชาพวกนั้นให้ เพราะหวังจะได้พี้เนื้อฟรีเป็นค่าจ้างในการรดน้ำพรวนดิน กะลาสีพยักหน้าหงึกแล้วยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆ จดตำแหน่งที่ตั้งไร่กัญชาให้
ทั้งกลุ่มนัดสุมหัวประชุมทุกวันเพื่อวางแผนตามหาต้นหญ้ามหัศจรรย์ โดยนัดกันแถวกำแพงโรงเรียน ตรงรูปปั้นของ หลุยส์ ปาสเตอร์ เวลาสี่โมงยี่สิบทุกเย็น โดยกำหนดรหัสลับว่า 420 หลุยส์ ทั้งกลุ่มตามหากัญชาที่กะลาสีปลูกวันแล้ววันเล่าก็ไม่พบ แต่ก็ยังไม่ย่อท้อ เมื่อพบหน้ากันตอนพักเที่ยงจะนัดแนะกันว่า
“เฮ้ย เย็นนี้ที่เก่าเวลาเดิมนะเว้ย 420 หลุยส์”
หลังจากหากันจนอ่อนใจก็ไม่เจอ สงสัยว่ากะลาสีจะอำเล่นนั่นแหละ ใครจะปล่อยให้กัญชาลอยนวล ยุคนั้นเป็นยุคบุปผาชนเบ่งบาน กัญชามีค่ายังกะทองคำ แม้จะหาไม่เจอแต่เพื่อนๆ ก็ยังนัดเจอกันพี้เนื้อ โดยใช้รหัส 420 เป็นการนัดหมายเหมือนเดิม เพียงแต่ตัดคำว่า “หลุยส์” ออกไป
การที่รหัส 420 กลายเป็นคำสแลงของกัญชา เพราะพี่ชายของเด็กหนุ่มกลุ่มนี้เป็นผู้จัดการวงดนตรีที่เล่นคู่กับวงเดอะ เกรทฟูล เดด ซึ่งช่วงนั้นได้รับความนิยมอย่างสูงและเริ่มเดินสายทั่วประเทศ คืนหนึ่งมาเล่นที่เมืองที่พวกกลุ่มวอลโดส์อยู่ เลยถือโอกาสไปสุมหัวดูดกัญชากับพวกนักดนตรี เวลาใครส่งพันลำวนในวง หนึ่งในกลุ่มวอลโดส์ก็จะบอกว่า “420”
จากนั้นเป็นต้นมา 420 เลยกลายเป็นรหัสลับในวงเดอะ เกรทฟูล เดด บรรดามิตรรักแฟนเพลงต่างเอาไปขยายใช้กันจนแพร่หลาย ในปี 1990 สตีเฟ่น บลูม บก. ของ High Times นิตยสารรายเดือนเกี่ยวกับกัญชาในแคลิฟอร์เนียมาชมคอนเสิร์ตของเดอะ เกรทฟูล เดด เลยได้รับเชื้อรหัส 420 ไปด้วย
พอเอาไปเขียนในนิตยสาร ปรากฎว่า High Times ฉบับ 420 ขายดีสุดๆ ทำให้รหัสลับที่ไม่ลับแพร่กระจายไปทั้งโลก เรื่องนี้ยิ่งดังเป็นพลุแตก ทำให้ทุกคนในโลกรู้จักรหัส 420 กันทั่วหน้า จนนำไปสู่การรวมกลุ่มสูบกัญชาทุกวันที่ 20 เมษายนของทุกปี เวลา 4 โมง 20 นาที จนถึงปัจจุบัน
ผลพวงของ 420 ยังทำให้ป้ายไม่ว่าจะเป็นเลขที่บ้านหรือป้ายถนนถูกขโมยเป็นประจำ เพราะถือเป็นของสะสมของบรรดาสิงห์อมควัน กระทรวงคมนาคมเลยต้องหาทางแก้ไขปัญหา เช่น เปลี่ยนป้ายบอกระยะทาง 420 บนถนน I-70 ทางตะวันออกของเดนเวอร์ด้วยป้าย 419.99 แทน ส่วนในรัฐไอดาโฮก็จะเปลี่ยนป้ายบอกไมล์ 420 บนถนนสาย 95 เป็นป้าย 419.9 แทน เช่นเดียวกับรัฐมินนิโซตา ที่ได้เปลี่ยนป้ายชื่อถนนจาก "420 St" มาเป็น"42x St" แทน เพื่อป้องกันการขโมยไปสะสม

กางทางออก win-win 3 พรรค‘ภท.ยุบสภา-พท.ซักฟอก-ปชน.แก้รัฐธรรมนูญ
สกู๊ปพิเศษ : ผ่าแผนการบริหารจัดการน้ำในฤดูแล้งปี 2568/69
ศาลนัดชี้ชะตา'ชูวิทย์' หมิ่น'ภท.'ปมค้านนโยบายกัญชาเสรี-ต้านเลือก สส.
ตรวจสอบสาวลึก! ‘ไชยชนก’สั่งยกเลิก MOU บ.สิงคโปร์ หลังพบพิรุธเพียบ
‘น้ำดื่มไม่สะอาด’ ภัยเงียบใกล้ตัว เสี่ยงท้องร่วง-อาเจียน ระยะยาวอาจสะสมเป็นมะเร็ง

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี