หลังเทศกาลฉลองวันขึ้นปีใหม่ผ่านพ้นไปและย่างเข้าสู่เดือนกุมภาพันธ์ ดูเหมือนว่าโลกของใครหลายคนจะกลายเป็นสีชมพูเรื่อๆ เพราะช่วงนี้เป็นเทศกาลสำคัญคือเทศกาลวาเลนไทน์ แม้ว่าหลายคนจะไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ แต่ก็ดูเหมือนว่าเทศกาลนี้กลายเป็นเทศกาลสากลให้คนทั้งโลก โดยเฉพาะหนุ่มสาวได้เฉลิมฉลองกันอย่างชื่นบาน
หลายคนเชื่อว่าจุดเริ่มต้นของการฉลองวันแห่งความรักหรือวันที่ 14 กุมภาพันธ์นั้นเริ่มมาจากเสียชีวิตของนักบุญวาเลนไทน์หรือเซนต์วาเลนไทน์ แต่จริงๆ แล้วจุดเริ่มต้นของเทศกาลนี้ย้อนหลังไปนานกว่านั้น โดยอาจจะเริ่มมาตั้งแต่ประมาณปีคริสตศักราช 270
ในสมัยนั้นมีการฉลองที่เรียกว่าลูเปอร์คาเลีย (Lupercalia) ของชาวโรมันในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ที่แสดงความรักต่อเทพเจ้าฟอนนัส เทพแห่งเกษตรกรรม เทพเจ้ารอมมิวนัสและเทพเจ้าเรมัส อันเป็นเทพผู้สร้างกรุงโรม เมื่อชาวโรมันส่วนหนึ่งหันมานับถือศาสนาคริสต์ เทศกาลนี้ก็ถูกแทนที่ด้วยพิธีแสดงความรักต่อนักบุญวาเลนไทน์ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์
พิธีเริ่มต้นโดยพวกสมาชิกของลูเปอร์ซิและนักบวชโรมันไปชุมนุมกันที่ถ้ำอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นที่กำเนิดของเทพเจ้ารอมมิวนัสและเรมัสที่เชื่อกันว่าเป็นผู้สร้างกรุงโรม เติบโตขึ้นจากการเลี้ยงดูและดื่มนมจากหมาป่า พวกนักบวชโรมันจะฆ่าแพะบูชายัญ เพื่อความอุดมสมบูรณ์และฆ่าสุนัขบูชายัญเพื่อความบริสุทธิ์
จากนั้นเด็กหนุ่ม ๆ จะแล่หนังของแพะออกเป็นชิ้นยาว ๆ นำไปจุ่มในเลือดศักดิ์สิทธิ์ แล้วถือไปตามถนนเพื่อแตะตัวผู้หญิง หญิงสาวชาวโรมันจะเต็มใจให้นำเอาหนังแกะสดที่ชุ่มไปด้วยเลือดมาแตะตามตัว เพราะเชื่อว่าจะนำเอาความอุดมสมบูรณ์มาสู่กรุงโรม ในรุ่งขึ้นอีกวันหญิงสาวชาวเมืองจะเขียนชื่อตนเอง ใส่ลงในหม้อขนาดใหญ่ เพื่อให้ชายโสดทั้งหลายมาเลือกชื่อตนจากหม้อใบนี้ และจะคบหาเป็นคู่กันไปตลอดทั้งปี ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะลงเอยด้วยการแต่งงานกัน
ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง กรุงโรมเกิดสงครามหลายครั้ง คลอดิอุสเองประสบกปัญหาในการหาทหารมาเข้าร่วมสงคราม เพราะชายโรมันหลายคนไม่ต้องการจากครอบครัวอันเป็นที่รักของตนเองไป ด้วยเหตุผลนี้เองทำให้จักรพรรดิคลอดิอุสประกาศให้ยกเลิกงานแต่งงานและงานหมั้นทั้งหมดในกรุงโรม ทำให้ประชาชนไม่พอใจอย่างหนัก
วาเลนไทน์เป็นบาทหลวงที่กรุงโรมในสมัยของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ไม่เห็นด้วยกับจักรพรรดิคลอดิอุสเพราะเห็นว่าเป็นกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม จึงลักลอบทำพิธีแต่งงานให้กับคนหนุ่มสาวที่มีความรักต่อไป โดยจัดตั้งกลุ่มองค์กรเล็กๆ เพื่อช่วยเหลือชาวคริสเตียนที่ถูกคำสั่งห้ามไม่ให้มีการแต่งงานเหล่านี้ โดยได้จัดให้มีการแต่งงานให้คู่รักอย่างลับๆ ด้วย ถึงแม้ว่าจะมีการประกาศห้ามแต่งงานแล้วก็ตาม นักบวชวาเลนไทน์ยังคงรักที่จะทำพิธีเหล่านี้ โดยภายในงานนั้นจะมีเพียงเจ้าบ่าว เจ้าสาว และนักบวชเท่านั้น พวกเขาจะกระซิบคำสาบานและคำอธิษฐานต่อกัน ในขณะเดียวกันก็ต้องคอยเงี่ยหูฟังเสียงการเดินตรวจตราของเหล่าทหารด้วย เมื่อการกระทำของนักบวชวาเลนไทน์ล่วงรู้ถึงหูของจักรพรรดิคลอดิอุส พระองค์จึงสั่งให้จับกุมและให้ประหารนักบวชวาเลนไทน์
คืนหนึ่ง ในขณะที่กำลังทำพิธีแต่งงานอย่างลับๆ นักบวชวาเลนไทน์ได้ยินเสียงผีเท้าทหาร แต่โชคดีที่คู่บ่าวสาวนั้นหนีออกไปจากโบสถ์ได้ทัน ในที่สุดวาเลนไทน์จึงถูกจับและถูกทรมานอย่างแสนสาหัส เด็กหนุ่มสาวหลายคนมาเยี่ยมนักบวชอันเป็นที่รัก พวกเขาโยนดอกไม้และกระดาษซึ่งเขียนข้อความต่างๆ เข้าไปทางช่องหน้าต่างของคุก โดยต้องการให้วาเลนไทน์รู้ว่า พวกเขาเองก็มีความเชื่อและศรัทธาในความรักด้วยเช่นกัน
หนึ่งในเด็กสาวเหล่านั้นเป็นลูกสาวของผู้คุม ซึ่งพ่อของเธอได้อนุญาตให้เธอเข้าไปเยี่ยมนักบวชวาเลนไทน์ได้ในคุก บางครั้งพวกเขานั่งคุยกันนานนับชั่วโมง เธอให้กำลังใจ อีกทั้งยังสนับสนุนการแต่งงานอย่างลับๆ ของนักบวชอีกด้วย
ในวันที่วาเลนไทน์เสียชีวิต ได้เขียนจดหมายไว้ฉบับหนึ่งเพื่อเป็นการขอบคุณในมิตรภาพและความจงรักภักดีของหญิงสาวผู้นั้น แล้วนักบวชก็ลงท้ายจดหมายว่า " Love from your Valentine. " หรือ “รักจากวาเลนไทน์ของคุณ” ซึ่งกลายเป็นวลีที่ยังใช้กันมาจนถึงทุกวันนี้
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จึงมีประเพณีการแลกเปลี่ยนจดหมายรักซึ่งกันและกันในวันวาเลนไทน์ โดยจะเขียนขึ้นในวันที่นักบวชวาเลนไทน์เสียชีวิต คือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ปีคริสตศักราช 270 และปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ เพื่อเป็นการรำลึกถึงนักบวชวาเลนไทน์ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของวันนี้คือการมอบความรักและมิตรภาพให้แก่กันและกัน
แต่อีกตำนานหนึ่งเล่าว่านักบวชวาเลนไทน์ถูกประหาร เพราะพยายามที่จะช่วยเหลือชาวคริสเตียนให้หนีออกจากคุกของพวกโรมัน ซึ่งเวลานั้นผู้ที่เป็นคริสเตียนจะมีความผิดต้องถูกนำไปคุมขังและทรมานด้วยการเฆี่ยนตี วาเลนไทน์จึงถูกนำตัวไปประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ วันดังกล่าวจึงกลายมาเป็นวันวาเลนไทน์ อันเป็นวันที่ผู้คนจะรำลึกถึงนักบวชผู้อุทิศตนให้ความรักนั่นเอง
ศพของวาเลนไทน์ก็ถูกเก็บไว้ที่โบสถ์พราซีเดสในกรุงโรม ซึ่งลูกสาวนักบวชได้ปลูกต้นอัลมอลต์ซึ่งมีดอกสีชมพูไว้ใกล้หลุมศพของวาเลนไทน์ ทุกวันนี้ต้นอัลมอนต์สีชมพูได้กลายเป็นตัวแทนแห่งรักนิรันดรและมิตรภาพอันสวยงามในยุคแรก
เรื่องราวของวาเลนไทน์ที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งยังมีหลักฐานหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน คือบทกวีที่เขียนโดย ชาร์ลแห่งออร์ลีนส์ ซึ่งเขียนให้กับภรรยาของเขาขณะถูกคุมขังในหอคอยกรุงลอนดอน เนื่องจากถูกจับกุมในระหว่างสงคราม บทกวีชิ้นนี้เขียนขึ้นเมื่อปีคริสตศักราช 1415 และถูกเก็บไว้ในห้องสมุดในกรุงลอนดอน
สถิติในอเมริกาพบว่าประมาณร้อยละ 85 ของผุ้ซื้อสินค้าวันวาเลนไทน์เป็นสตรี ส่วนใหญ่จะเป็นค่าใช้จ่ายในเรื่องของบัตรอวยพร ซึ่งก็ไม่ได้จำกัดว่าจะเป็นการอวยพรเฉพาะคู่รักเท่านั้น เพราะในวันวาเลนไทน์นี้จะสามารถแสดงออกความรักต่อใครก็ได้ อย่าลืมบอกรักใครสักคนในวันวาเลนไทน์ปีนี้นะคะ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี