จริงๆ แล้วไม่อยากเขียนถึงสถานการณ์โควิดในอเมริกาเลย ยอมรับว่าผ่านวันด้วยความอกสั่นขวัญแขวน แม้จะระแวดระวังป้องกันตัวเองอย่างดีที่สุด แต่ไม่รู้ว่าจะเจอแจ็คพอตวันไหน เนื่องจากทุกคนไม่สามารถอยู่โดดเดี่ยวในโลก เหนื่อยหน่ายกับความดื้อด้านอวดดีของอเมริกัน หนักใจกับจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
ผู้เขียนเกาะติดสถานการณ์โควิดทุกวัน เห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในชุมชนของตัวเอง ซึ่งอาจจะขยายเป็นภาพรวมในอเมริกาได้ ในช่วงแรกของการระบาด กลุ่มที่ป่วยมากที่สุดคือพวกอายุ 50 ปีขึ้นไป ต่อมากลุ่มนี้เริ่มคงที่ แต่ตอนนี้คนที่ติดเชื้อมากที่สุดคือกลุ่มอายุ 20-30 ปี ที่น่าห่วงคือเพราะกลุ่มช่วงวัยนี้ติดเชื้อสูงสุด เลยทำให้กลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 10 ขวบติดเชื้อสูงเป็นอับดับสอง
ชุมชนที่ผู้เขียนอยู่เป็นชุมชนเล็กๆ ทางตอนเหนือของรัฐอินเดียน่า เล็กกว่านนทบุรีเสียอีก ประชากรมีไม่มากเท่าไหร่นัก แต่ตอนนี้มีคนติดเชื้อมากกว่าเมืองไทย คือเกือบสี่พันราย และตายไป 85 คน นี่ขนาดชุมชนเล็กในรัฐเล็กๆ ที่ไม่ได้ติด 1 ใน 5 ที่เป็นจุดการระบาดในอเมริกา
ตอนนี้ผู้ป่วยสะสมในอเมริกาคือห้าล้านสองแสนกว่าราย ตายไปแสนหกหมื่นกว่า รัฐที่จัดว่าเป็นโซนระบาดล่าสุดคือ อันดับหนึ่ง รัฐแคลิฟอร์เนีย อันดับสองคือรัฐฟลอริด้า อันดับสามคือเท็กซัส อันดับสี่รัฐนิวยอร์ก และอันดับห้าคือรัฐจอร์เจีย
รัฐทางใต้มีแนวโน้มจะระบาดหนักมาก คือย้ายศูนย์กลางการระบาดจากฝั่งอีสต์โคสต์คือนิวยอร์กลงใต้ รัฐทางใต้เหล่านี้ติดเชื้อเพิ่มวันละพันกว่าราย ส่วนฟลอริด้า เท็กซัส แคลิฟอร์เนียไม่ต้องพูดถึง บางวันติดเชื้อกันเป็นหมื่นๆ
ส่วนจำนวนคนตายเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่ากลัว บางวันตายไป 2,000 รายต่อวัน ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขสูงสุด นับตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา สถาบัน Institute for Health Metrics and Evaluation ของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐวอชิงตันรายงานว่า จำนวนคนอเมริกันที่เสียชีวิตจากโควิด-19 อาจสูงรวมกันถึงเกือบ 300,000 คน ภายในวันที่ 1 ธันวาคมนี้ ส่วนใครจะเป็น 1 ในสามแสนนั่นไม่รู้ แต่คิดก็สยองแล้ว
อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้เสียชีวิตที่ว่านี้ อาจลดลงได้ราว 70,000 คน หากชาวอเมริกันหันมาใช้หน้ากากกันอย่างจริงจัง แต่ดูเหมือนว่าอเมริกันจะยังไม่ยอมสวมหน้ากากอนามัย หรือสวมแบบเสียไม่ได้ เพราะมีกฎบังคับให้ใส่เท่านั้นเอง
รัฐอินเดียน่าที่ผู้เขียนอยู่ติดอันดับ 20 จาก 50 รัฐ ถือว่าระบาดแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ แต่เจ็บจริงตายจริงรายวัน สุดท้ายผู้ว่าการรัฐออกประกาศบังคับให้ใส่หน้ากาก แต่ดูเหมือนพลเมืองแถวนี้ไม่แยแสอะไรนัก เพราะใส่แบบเสียไม่ได้ จะใส่เฉพาะตอนเข้าห้าง แล้วกระชากออกทันที เคยเห็นกับตาว่าบางคนล้วงกระเป๋าหยิบหน้ากากอนามัยมาใส่ แต่ทำหล่นพื้น แทนที่จะทิ้งไป กลับคว้ามาใส่ต่อหน้าเฉย
บางคนคว้าหน้ากากอนามัยที่แขวนไว้หน้ารถ แล้วไปลากรถเข็น แต่ขึงหน้ากากอนามัยไว้บนที่จับรถเข็นซึ่งแสนสกปรก ผ่านมือใครมาบ้างก็ไม่รู้ตลอดวัน จากนั้นก็เอาไปคาดปาก เห็นแล้วถึงกับถอนใจ ใครจะไปคิดว่าคนอเมริกันที่ชาวโลกมองว่าฉลาดนักหนาจะไม่แยแสว่าความตายนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม
เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา มีข่าวหนึ่งที่ได้รับการแชร์ไปทั่วอเมริกา หญิงคนหนึ่งสูญเสียสามีที่อยู่ร่วมสุขร่วมทุกข์มานานกว่า 20 ปี ลงประกาศในข่าวมรณกรรมของสามีว่า
“เดฟ (ชื่อสามี) ป้องกันตัวเองอย่างดีทุกอย่างที่ควรจะทำ แต่พวกแกไม่เคยคิดถึงคนอื่น ช่างน่าละอายสิ้นดี ของให้กรรมตามทันพวกแกทุกคน”
ภรรยาม่ายรายนี้โกรธแค้นที่สูญเสียสามีเพราะโควิด 19 เลยสาปแช่งทุกคนตั้งแต่ตาลุงผมเป๋ ประธานาธิบดี ผู้ว่าการรัฐเท็กซัส ซึ่งก็คือหนึ่งในลูกกระแป๋งของลุงทรัมป์ ไปจนถึงคนที่ต่อต้านการใส่หน้ากากในที่สาธารณะ
สเตซี่ นากี้เปิดเผยทั้งน้ำตาว่า หากทรัมป์ ผู้ว่าการรัฐ และพลเมืองในรัฐป้องกันตัวเอง เดฟ นากี้ สามีของเธอคงไม่ต้องจบชีวิตแบบนี้ เดฟวัย 79 ปี มีโรคประจำตัวคือเบาหวานและโรคหัวใจ เธอเขียนบทความขนาดสั้นลงหนังสือพิมพ์ Jefferson Jimplecute ท่อนหนึ่งมีใจความว่า
“พวกเห็นแก่ตัว ไม่ฟังความเห็นของหมอ และต่อต้านการใส่หน้ากากอนามัย แถมยืนยันสิทธิของตนเองอย่างโง่ๆ คนพวกนี้คิดว่าสิทธิในการไม่ใส่หน้ากากของตัวเองสำคัญกว่าชีวิตคนอื่น คนพวกนี้ไม่ยอมใส่หน้ากากอนามัย อ้างโน่นนี่ต่างๆ นานา แถมไปทั่วทุกหนแห่ง นี่ไม่ใช่ประเด็นการเมือง แต่คือเรื่องความเป็นความตายของทุกคน ขอให้กรรมตามทันพวกแกทุกคน”
เรื่องนี้ได้รับการแชร์ไปในวงกว้าง และเป็นหัวข้อในวงพูดคุย ผู้เขียนเชื่อว่าเคนแบบนี้จะเกิดขึ้นอีกเรื่อยๆ ตราบใดที่คนอเมริกันยังไม่ตระหนักถึงอันตรายใกล้ตัว กรณีเดฟ ไม่มีใครรู้ว่าได้รับเชื้อมาจากไหน เพราะแทบจะไม่ออกจากบ้านไปไหนเลย นอกจากไปซุปเปอร์มาร์เก็ตเป็นครั้งคราว แต่ต้องมาเสียชีวิตเพราะโควิดในที่สุด
แล้วคนอเมริกันส่วนใหญ่คิดยังไงกับสถานการณ์ในอเมริกาตอนนี้ บริษัททำโพลล์ Gallup สำรวจความคิดเห็นชาวอเมริกันช่วงวันที่ 1 ถึง 23 กรกฎาคม และพบว่ามีเพียงร้อยละ 13 ที่ระบุว่าพอใจกับสถานการณ์ในประเทศ
ระดับดังกล่าวลดลงจากร้อยละ 20 เมื่อต้นเดือนมิถุนายน และร้อยละ 45 ในเดือนกุมภาพันธ์ นอกจากนี้ยังต่ำสุดในรอบเกือบ 9 ปีอีกด้วย โพลล์นี้จัดทำขึ้นช่วงโควิดระบาด และปัญหาเศรษฐกิจซึ่งตอนนี้คือหายนะครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่เหตุการณ์ Great Depression ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1930
ที่น่าจับตามองคือ ชาวอเมริกันแห่สละสัญชาติทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยแค่ครึ่งปีนี้มีจำนวนผู้ขอสละสัญชาติมากกว่าปีที่แล้วเกินกว่า 2 เท่า ด้วยเหตุผลทั้งโควิด-19 การเมือง และค่าภาษี
สำนักงานบัญชี แบมบริดจ์ แอคเคานท์แทนต์ ระบุว่า มีชาวอเมริกัน 5,816 คนสละสัญชาติในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ เมื่อเทียบกับจำนวน 2,072 คนที่สละสัญชาติตลอดทั้งปี 2562 และเพิ่มขึ้นถึง 1,210% เมื่อเทียบกับช่วง 6 เดือนสุดท้ายของปีที่แล้ว ที่มีผู้สละสัญชาติเพียง 444 คน นอกจากนี้ยังโค่นสถิติเก่าในปี 2559 ที่มีชาวอเมริกันสละสัญชาติรวม 5,409 คนตลอดทั้งปี
รายงานระบุว่า จำนวนผู้สละสัญชาติพุ่งสูงขึ้นในปีนี้ หลังจากตัวเลขลดลงอย่างมากนับตั้งแต่ปี 2560 ปัจจัยเรื่องสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 หลายคนที่สละสัญชาติ เพราะไม่พอใจกับบรรยากาศการเมืองและเรื่องภาษี หลายคนกำลังรอดูผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพ.ย. ซึ่งหากทรัมป์ได้รับเลือกตั้งอีกสมัย เชื่อว่าจะมีคนสละสัญชาติอีกเพียบ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี