เมื่อวันที่ 27 มกราคม ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคำร้องของ กกต. ให้พิจารณาความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ นครศรีธรรมราช สิ้นสุดลงหรือไม่ เนื่องจาก นายเทพไท ถูกศาลนครศรีธรรมราช ลงโทษจำคุก 2 ปี และตัดสิทธิการเมือง 10 ปี
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้ว มีความเห็นว่า เมื่อศาลมีคำพิพากษาให้เพิกถอนสิทธิผู้ใดแล้ว ย่อมมีลักษณะต้องห้ามเป็น ส.ส. ตามมาตรา 98(4) ไม่ต้องรอให้มีคำพิพากษาถึงที่สุดทั้งนี้ ส.ส. ผู้ใดกระทำความผิดจนศาลมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งแล้ว ส.ส. ผู้นั้นย่อมไม่อาจอยู่ในฐานะไว้วางใจในการทำหน้าที่อย่างสุจริตได้
ส่วนข้อโต้แย้งว่าหากให้สมาชิกภาพสิ้นสุดลงโดยที่คดียังไม่ถึงที่สุดจะเป็นผลร้ายแรงนั้น ศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงในคดีนี้เป็นข้อเท็จจริงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101(6) และ98(4) และ 96(2) โดยไม่ต้องให้คดีถึงที่สุด ข้อโต้แย้งดังกล่าวจึงฟังไม่ขึ้น
แน่นอน นายเทพไท เสนพงศ์ ซึ่งกลายเป็นอดีต ส.ส. ไปแล้วย่อมไม่เห็นด้วย เขาเห็นว่า เขายังมีโอกาสสู้ในชั้น อุทธรณ์ และฎีกา หากเขาชนะจะเยียวยาอย่างไร ?
คำพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญนั้น เป็นไปในแนวเดียวกันทั้ง 9 เสียง
ความจริงเรื่องเช่นนี้ไม่น่าจะต้องเสียเวลา กกต. ที่จะต้องยื่นคำร้อง ไม่ต้องเสียเวลาศาลรัฐธรรมนูญที่จะต้องมาพิจารณา
ในระบอบประชาธิปไตยของเรา มีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง เป็นต้นว่ารัฐมนตรี หรือ สมาชิกรัฐสภา ท่านใดท่านหนึ่งมีคดีความ ถูกศาลตัดสินลงโทษ ในศาลแรกหรือศาลชั้นต้น จะต้องรอให้คดีถึงที่สุดหรือไม่ หรือคำตัดสินของศาล ให้จำคุกนั้นจะต้องจำคุกจริงๆ หรือไม่ ถ้าศาลให้รอการลงโทษ สมาชิกภาพ หรือความเป็นรัฐมนตรี สิ้นสุดลงหรือไม่อย่างไร
นี่ล้วนเป็นข้อสงสัย ข้ออ้าง ของนักการเมืองหน้าด้านทั้งสิ้น เป็นข้ออ้าง เป็นเหตุผลของความเห็นแก่ตัวทั้งสิ้น
เอาเข้าจริงๆ นั้น การต่อสู้ทางกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นชั้นสอบสวน ชั้นการพิจารณาของอัยการ การตัดสินของศาลชั้นต้น ชั้นอุทธรณ์ หรือชั้นฎีกา นั้นในความเป็นจริงคือเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงในการเอาชนะคะคานกันเท่านั้น
ในความเป็นจริง ความเป็นมนุษย์ของแต่ละคนนั้น ย่อมตระหนักรู้อยู่แล้วละว่า ตัวเองประกอบกรรมชั่ว ทำผิด หรือไม่ทำผิด เจตนาที่จะทำผิด หรือทำไปด้วยความเผอเรอเข้าใจผิด
ในสังคมอันบัดซบนี้ เราคงหวังไม่ได้หรอกว่าคนทำผิด มันจะยอมรับผิดเองได้ เราหวังได้แต่เพียงกับการยอมจำนนกับความผิด ที่ผู้คนจับได้ สังคมจับได้ หรือ ตัวบทกฎหมายจับได้
หรืออย่างน้อยที่สุดก็มีความละอาย ไปแถ ไถ ไปต่างๆ นานา เช่น กฎหมายไม่เป็นธรรม ไม่ได้ทำผิด แต่ทำในสิ่งที่กฎหมายห้ามเอาไว้ ทำกับข้าวก็พ้นตำแหน่งนายกฯ เมียซื้อผัวติดคุก ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคำพูดที่แถไถ ไม่พูดความจริงทั้งหมด อย่างที่เป็นอยู่ในสังคมทุกวันนี้
ยิ่งสำหรับ นักการเมืองที่อาสาเข้ามาทำงานเพื่อบ้านเมือง เพื่อสังคม ยิ่งจะต้องตระหนักในเรื่องเช่นนี้ นอกจากจะต้องซื่อสัตย์ต่อประชาชนทั้งหลายทั้งปวงแล้ว ความซื่อสัตย์ต่อตัวเองนั่นแหละสำคัญสุด
นายเทพไท ตั้งคำถามว่า ถ้าในชั้นอุทธรณ์ ฎีกา เขาชนะคดี ใครจะเยียวยาให้เขาหรือจะเยียวยาอย่างไร ในทางตรงข้ามเล่า เกิดอุทธรณ์ยืน ฎีกายืน หรือ อุทธรณ์ให้เทพไทชนะ ฎีกา แพ้เล่า
เทพไทจะชดใช้อะไรให้กับประชาชนเล่า ?
สำเริง คำพะอุ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี