ขณะกำลังอ่านข่าวต่างประเทศ พอดีเจอข่าวหนึ่งคือทางการอเมริกันเนรเทศชายวัย 95 ออกจากอเมริกาเพราะสืบทราบว่าชายคนนี้เป็นอดีตนาซี ที่หนีมากบดานที่รัฐเทนเนสซี่อยู่จนแก่เฒ่าเหล่าแหย่ถึง 95 ปีนี่แหละ เชื่อกันว่านี่คืออดีตนาซีคนสุดท้ายในอเมริกาเคยเห็นเรื่องราวแบบนี้แต่ในหนังฮอลลีวู้ด ไม่คิดว่าจะได้เห็นเป็นข่าวจริงๆ แล้ว อเมริกาซ่อนจุดด่างดำอัปลักษณ์ไว้ใต้ผืนธงชาติมากมาย บางเรื่องซึ่งควรจะนำมาบรรจุในตำราเรียนวิชาประวัติศาสตร์ก็กลับไม่ยอมบรรจุไว้ ยกตัวอย่างเช่น เรื่องราวของสควอนโต้อินเดียนแดงที่สอนชาวอาณานิคมกลุ่มแรกที่กำลังอดตาย จนสุดท้ายชาวอาณานิคมกลุ่มนั้นรอดตาย จนก่อตั้งอาณานิคมพลีมัธแล้วแตกออกเป็น 13 อาณานิคม ขยายตัวกลายเป็นอเมริกาในเวลาต่อมา เรื่องแบบนี้ไม่ปรากฎในหนังสือเรียนของอเมริกา
แม้กระทั่งหลุมศพของสควอนโต้ก็ไม่ปรากฎเช่นเดียวกับเรื่องนี้ จะว่าไปก็สืบเนื่องมาจากข่าวนาซีคนสุดท้ายเหมือนกัน ขอเล่าย้อนหลังสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานความรู้ประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สอง เป็นการรบกันระหว่างมหาอำนาจสองขั้วคือฝ่ายอักษะและฝ่ายสัมพันธมิตร ฝ่ายอักษะคือญี่ปุ่น เยอรมัน และอิตาลี่ ส่วนสัมพันธมิตรคือ ฝรั่งเศส อังกฤษ รัสเซีย และจีน
ส่วนอเมริกาตอนนั้นยังนอนแคะสะดือดูสถานการณ์ ไม่ได้ร่วมหัวจมท้ายกับใครในช่วงต้นสงคราม แต่อเมริกานอนเกาไข่เล่นได้ไม่นาน เช้าตรู่วันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ.1941 ฝูงบินญี่ปุ่นก็ถล่มเพิร์ลฮาร์เบอร์ที่ฮาวาย ทหารอเมริกันตายเพียบ เล่นเอาอเมริกันทั้งประเทศเต้นผางอย่างโกรธแค้น ชะ..ไอ้พวกแจ้บ(คำนี้ใช้เรียกชาวญี่ปุ่นในอเมริกาเวลานั้น) บังอาจมาหย่อนระเบิดบ้านกูได้การที่ญี่ปุ่นทำแบบนี้ เพราะจะตัดไฟต้นลมเพื่อไม่ให้กองเรือแปซิฟิกของอเมริกาแทรกแซงการปฏิบัติทางทหารของฝ่ายตน
แต่อเมริกันนั้นยั๊วะมาก ประกาศสงครามดังลั่นโลก พอวันรุ่งขึ้นวันที่ 8 ธันวาคม ลุงแซมก็ประกาศสงครามกับญี่ปุ่นทันทีแถมแรงแค้นยังกระเพื่อมไปถึงชาวญี่ปุ่นทุกคนในอเมริกา โดยเฉพาะฮาวาย ซึ่งเวลานั้นมีชาวญี่ปุ่นมาตั้งรกรากเป็นจำนวนมาก หากมองในฐานะคนนอก การที่ญี่ปุ่นถล่มท่าเรือเพิร์ลของอเมริกาเพราะนั่นคือฐานทัพ แม้จะไม่ชอบสงครามแต่นั่นคือขอบเขตในการทำสงครามแต่ต่อมาอเมริกาขนระเบิดปรมาณูไปถล่มนางาซากิและฮิโรชิม่า
ซึ่งทั้งสองเมืองไม่ใช่ฐานทัพแต่เป็นเมืองที่มีแต่ประชาชนคนธรรมดาอาศัยอยู่ หลังทิ้งระเบิดถล่มญี่ปุ่นเท่ากับเป็นการปิดฉากสงครามโลกโดยปริยาย ย้อนกลับมาถึงช่วงหลังสงครามโลกความเกลียดชังที่อเมริกันมีต่อญี่ปุ่นยังเข้มข้น นั่นรวมถึงชิงชังคนเยอรมันด้วย ทุกวันนี้คนอเมริกันแก่ๆยังแอนตี้สินค้าเยอรมัน แต่แค้นญี่ปุ่นนั้นมากกว่าที่บังอาจถล่มเพิร์ลฮาเบอร์ เลยนำมาสู่โศกนาฎกรรมที่ไม่เคยปรากฎในหนังสือประวัติศาสตร์ให้เด็กอเมริกันได้เรียนรู้โศกนาฎกรรมที่ว่า คือรัฐบาลอเมริกันออกกฎหมายบังคับให้คนญี่ปุ่นในอเมริกาให้ทิ้งบ้านเรือนร้านค้า กวาดต้อนเข้าไปอยู่ในค่ายกักกัน ถึงแม้ชาวญี่ปุ่นเหล่านั้นจะได้สัญชาติอเมริกันแล้วก็ตาม หรือแม้แต่ชาวญี่ปุ่นที่เกิดในอเมริกา ซึ่งได้สัญชาติอเมริกันตั้งแต่เกิดแต่รัฐบาลไม่แคร์กับสิทธิเสรีภาพของพลเมืองอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นเหล่านี้แต่อย่างใด ก่อนหน้าวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ.1941 มีคนอเมริกาเชื้อสายญี่ปุ่นอยู่ในประเทศทั้งหมด 284,000 คนกว่าครึ่งอยู่ในเมืองฮาวาย ชาวญี่ปุ่นรุ่นแรกในอเมริกาเรียกว่า “อิสเซอิ” ส่วนรุ่นที่สองเรียกว่า “นิเซะอิ” แปลว่าคนรุ่นสองคนเหล่านี้นับเป็นพลเมืองอเมริกันเช่นเดียวกับอเมริกันทุกสีผิวที่เกิดบนแผ่นดินอเมริกา แต่ใครเลยจะคิดว่าพลเมืองอเมริกันกลับต้องเจอโศกนาฎกรรมสาหัสเพียงเพราะสืบสายมาจากญี่ปุ่นประธานาธิบดี แฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ ออกคำสั่งฝ่ายบริหารที่ 9066 ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1942 มอบอำนาจให้ผู้บังคับบัญชาทหารท้องถิ่นกำหนด "พื้นที่ทหาร"เพื่อลงดาบบุคคลใดก็ตามที่มีบรรพบุรุษชาวญี่ปุ่น พูดง่ายๆคือลากพวกนี้ไปเข้าค่ายกักกันให้หมดนั่นเอง การกวาดต้อนชาวญี่ปุ่นไปเข้าค่าย เริ่มจากการติดประกาศตามเสาไฟฟ้ามีข้อความว่า
“ชาวญี่ปุ่นทุกคนทั้งที่เป็นคนต่างด้าวและไม่ใช่คนต่างด้าวจะถูกอพยพไปจากสถานที่นี้…” “สำนักงานควบคุมพลเรือนจะให้บริการด้านการจัดการ การเช่าการขายจัดเก็บหรือควบคุมอสังหาริมทรัพย์แทบทุกประเภท…ขนย้ายประชาชนและเสื้อผ้าจำนวนจำกัด รวมถึงเครื่องมือเครื่องใช้ สำหรับที่อยู่อาศัยแห่งใหม่”
คำสั่งนี้เหมือนฝันร้ายทำให้ชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นนับแสน ต้องทิ้งบ้านเรือนร้านค้าที่ตัวเองเป็นเจ้าของ เอาติดตัวไปแต่เพียงเสื้อผ้าเพื่อเข้าไปอยู่ในค่ายกักกันตามคำสั่ง แถมรัฐยังยึดที่ดิน ร้านค้า บ้านเรือนทรัพย์สินของอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นได้โดยไม่ผิดกฎหมายทำให้หลายครอบครัวหมดตัวในพริบตา สิ่งที่รัฐบาลอเมริกันทำในเวลานั้นไม่ได้แตกต่างไปจากนาซีเยอรมันกระทำต่อชาวยิวเลยแม้แต่น้อย แต่ละครอบครัวได้รับหมายเลขที่ยืนยันตัวบุคคลสนามแข่งม้าแซนตาแอนิตาในลอสแอนเจลิส เป็นศูนย์แรกรับใหญ่ที่สุดรองรับได้มากกว่า 18,000 คน และเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ผู้คนถูกบังคับให้อาศัยอยู่ในคอกม้าอย่างแออัดยัดเยียด แม้อเมริกาที่เพิ่งเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองในตอนท้ายและพลอยฟ้าฟลอยฝนได้รับชัยชนะไปด้วย ในที่สุดแต่ความเกลียดชังและอคติที่มีต่อชาวญี่ปุ่นในอเมริกายังไม่จางหายไป ยังมีการคุมขังต่อเนื่อง มีการปล่อยตัวชาวญี่ปุ่นเหล่านี้บ้างก็เฉพาะที่ถูกคัดสรรแล้วว่า จงรักภักดีต่ออเมริกาจริง
นอกนั้นถูกกักขังกักกันต่ออีกหลายปี แม้กระทั่งทารกแรกเกิดที่เกิดในค่ายกักกันก็ไม่ได้รับการปล่อยตัว ค่ายกักกันชาวญี่ปุ่นมีทั้งสิ้น 10 แห่งในหลายรัฐ ทั้งแอริโซน่าอาคันซอร์ แคลิฟอร์เนีย โคโลราโดไอดาโฮ ยูทาห์ และไวโอมิ่ง ทั้งหมดตั้งอยู่ในสถานที่ทุรกันดาร มีสภาพความเป็นอยู่เลวร้ายค่ายปรับทัศนคติที่รู้จักกันดีที่สุด คือ ค่าย Manzanar ซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขาเซียร์ร่า เนวานา แคลิฟอร์เนียค่ายกักกันทุกแห่งมีสภาพไม่ต่างจากนรกบนดิน หลายคนตายเพราะถูกเจ้าหน้าที่ยิง เพียงแค่เดินเฉียดกำแพงค่าย ช่วงเวลาฝันร้ายในค่ายกักกันกินเวลาประมาณ 3 ปี มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อยราว 2,000 คน จนกระทั่งวันที่ 18 ธันวาคม 1944 มีการประกาศยกเลิกกักกันแต่เมื่อออกจากค่ากักกันก็เผชิญหน้าฝันร้ายซ้ำสอง เพราะสิ้นเนื้อประดาตัวทุกครอบครัว
ในปี 1980 มีการกดดันให้ประธานาธิบดี จิมมี คาร์เตอร์ สอบสวนกรณีการที่มีการกวาดต้อนคนอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น ไปเข้าค่ายกักกันจำนวนทั้งสิ้นหนึ่งแสนสองหมื่นคน โดยปราศจากความผิดประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกน ลงนามในกฎหมายพระราชบัญญัติเสรีภาพพลเรือนเพื่อเป็นการขอโทษชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น พร้อมชดใช้เงินให้กับผู้ที่รอดชีวิตราว 8 หมื่นกว่าคน คนละ 20,000 ดอลลาร์ หรือเทียบเป็นเงินไทยได้ประมาณหกแสนบาท ส่วนภาพความเป็นอยู่ในค่ายกักกันถูกปกปิดมายาวนานหลายสิบปี และเพิ่งได้รับการเผยแพร่ในปี 2006 ที่ผ่านมานี้เอง
วันที่ 20 กพ. ค.ศ. 2020 สภาแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียขอโทษในเรื่องการเลือกปฏิบัติต่อชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น ที่ถูกนำไปเข้าค่ายกักกันมีการผ่านร่างมติเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างเป็นเอกฉันท์ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย กาวิน นิวซัม ประกาศให้วันที่ 19 ก.พ.เป็นวันแห่งการรำลึกถึงเหตุการณ์นี้ ส่วนผู้ว่าการรัฐไอดาโอและอาร์คันซอ ก็ประกาศให้วันที่ 19 ก.พ.เป็นวันรำลึกถึงเรื่องนี้เช่นกันนี่คือประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงบนผืนแผ่นดิน ที่ประกาศหลักการเรื่องความเท่าเทียมและสร้างภาพลวงตาให้ชาวโลกเชื่อว่า ที่นี่มีเสรีภาพทุกตารางนิ้ว
..........................................................
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี