จริงๆ แล้วอาทิตย์แรกของปี 2022 อยากเขียนเล่าสถานการณ์เรื่องโอมิครอนในอเมริกา ที่ตอนนี้กำลังระบาดหนัก ก่อนหน้าปีใหม่ป่วยกันวันละครึ่งล้าน ขนาดรัฐมนตรีกลาโหมที่ฉีดวัคซีนเข็มสามแล้วยังติดโควิดเลย โอมิครอนอยู่รายล้อมรอบตัวไปหมด พอพ้นคริสต์มาสปุ๊บ ป่วยกันงอมแงม นี่ยังไม่อยากคิดถึงช่วงหลังปีใหม่เลย
เพื่อนคนไทยคนหนึ่งทำงานในห้างทุกวัน รอดปลอดภัยมาตลอดสองปี ทั้งที่ทำงานเสี่ยงสูงพบเจอลูกค้าตลอดเวลา แต่ช่วงคริสต์มาสที่ผ่านมา พ่อแม่สามีอยากรวมญาติ เพื่อนเห็นว่าทุกคนฉีดวัคซีนครบสองโดส บางคนฉีดเข็มสามแล้วด้วยซ้ำ มีแต่ทารกน้อยวัยขวบกว่าที่ยังไม่ได้ฉีดแค่คนเดียว เลยคิดว่าไม่เป็นไร ปรากฎว่าหลังฉลองคริสต์มาส ติดโควิดกันทั้งครอบครัว ป่านนี้ยังนอนซมทั้งบ้าน คาดว่าน่าจะเพราะฤทธิ์โอมิครอน
เรื่องหนักๆ ในอเมริกา ขอพักไว้ก่อน เริ่มต้นปีใหม่ อยากคุยเรื่องเบาๆ สลับฉาก คุยแต่เรื่องหนักๆ บางทีก็ไม่ไหวเหมือนกัน อาทิตย์นี้อยากเล่าว่า ครั้งหนึ่งอาหารแดกด่วนยอดนิยมของอเมริกาถูกกล่าวหาว่าไม่เป็นอเมริกันพอ เลยต้องมีการเปลี่ยนชื่อใหม่ให้แฮมเบอร์เกอร์
ใครๆ ในโลกย่อมรู้จักแฮมเบอร์เกอร์ เมนูนี้นับเป็นอาหารจานเด็ดในอเมริกา เพราะทำง่าย พลิกแพลงยัดอะไรใส่ลงไปได้ทั้งนั้น หลักๆ ที่เราคุ้นชินคือแป้งกลมๆ สองอัน ประกบกับเนื้อบดทอดหรือย่าง ซึ่งส่วนใหญ่จะทอดในกระทะแบนๆ โปะชีส ใส่ผักตามชอบ ส่วนมากหัวหอม ผักกาดแก้วและมะเขือเทศยืนพื้น กินกับซอสมะเขือเทศ และเฟรนซ์ฟราย
แต่น่าแปลกที่ถิ่นกำเนิดอาหารยอดนิยมมะริกันชนกลับไม่ใช่อเมริกา ใครจะไปคิดว่าไอ้เจ้าอาหารยอดนิยมของมะริกันไม่ได้เกิดขึ้นในอเมริกา เพราะมะริกันกินกันจนกลายเป็นอาหารประจำชาติไปแล้ว ชาวอเมริกันเพียงประเทศเดียวก็กินเบอร์เกอร์มากกว่า 50,000,000,000 อันต่อปี หากนำเอาแฮมเบอร์เกอร์ที่คนอเมริกันกินใน 1 ปี มาวางเรียงต่อกันเป็นเส้นตรง จะพันรอบโลกได้ถึง 32 ครั้ง หรือกว่านั้น
ตำนานกำเนิดแฮมเบอร์เกอร์ไม่มีหลักฐานอ้างอิงที่ชัดเจน บางตำราอ้างว่าต้นตำรับมาจากเยอรมัน แต่บางตำราไปไกลถึงว่าต้นตำรับมาจากเจงกีสข่าน เริ่มจากการที่หลานเฮียเจงมั่นหน้าบุกไปถึงมอสโก พวกนี้เป็นนักรบสายพันธุ์ทรหดที่แท้ทรู เอาเนื้อบดซุกไว้ใต้อานม้า อาศัยความร้อนจากการควบม้าปรุงสุกช้าๆ แต่ไม่ได้สุกแบบทอดจี่เลยทีเดียว อาจจะสุกๆ ดิบๆ จากนั้นก็ใส่เครื่องปรุงบางอย่างที่นำติดตัวมา ชาวมองโกลเลยเอาสูตรเนื้อบดมาเผยแพร่ในเมือง ปรากฎว่าได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เรียกว่า "Steak Tartare" มีลักษณะเป็นเนื้อดิบปั้น และชาวมอสโกดัดแปลงสูตรโดยการผสมหัวหอมและไข่ดิบลงไป
จากมอสโกไปสู่เยอรมัน เกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมทางอาหารด้วยเส้นทางการเดินเรือ ชาวเยอรมันนำสูตร Steak Tartare มาประเทศตน ช่วงนั้นการเดินเรือในเยอรมันต้องใช้ท่าเรือที่เมืองฮัมบูรก์เป็นหลัก เมนูนี้กลายเป็นเมนูที่บรรดากะลาสีชอบอกชอบใจ เลยมีการเปลี่ยนชื่อเป็น “Hamburg Steak”
อเมริกาเปิดให้ผู้อพยพชาวยุโรปเดินทางไปตั้งรกรากและชีวิตใหม่ในอเมริกา เพราะมีการสร้างโรงงานอุตสาหกรรมทางตอนเหนือของทวีป ตอนนั้นผู้คนหลั่งไหลจากยุโรปเข้าสู่อเมริกา ความนิยมแฮมเบอร์เกอร์ในอเมริกาเริ่มต้นที่นิวยอร์ก ซึ่งในเวลานั้นเป็นเมืองท่าที่อ้ารับนักเดินทางจากทั่วโลก
ความนิยมกินแฮมเบอร์เกอร์ช่วงแรกคงแพร่อยู่เฉพาะนิวยอร์ก แต่ปี 1904 เกิดดังเป็นพลุแตกเพราะในงาน World’s Fair รัฐมิสซูรี่ นักข่าวจากนิวยอร์กทรีบูนน์เขียนถึงแซนด์วิชชนิดใหม่ที่วางขายในงาน โดยเรียกว่า "แฮมเบอร์เกอร์"
ชาวโลกรู้จักอาหารชนิดนี้ในชื่อแฮมเบอร์เกอร์มานาน แต่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง รัฐบาลอเมริกันพยายามเปลี่ยนชื่อแฮมเบอร์เกอร์เป็น “แซนด์วิชแห่งเสรีภาพ” ทั้งหมดทั้งมวลเพราะความเกลียดชังเยอรมันล้วนๆ เพราะชื่อแฮมเบอร์เกอร์ชวนให้คิดถึงเมืองฮัมบรูก์นั่นเอง แฮเบอร์เกอร์เจอข้อกล่าวหาว่าไม่เป็นอเมริกัน
ช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โลกถูกฉีกออกเป็นสองฝั่งแล้วยกพวกตีกัน ฝ่ายที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายมหาอำนาจกลางหรือฝ่ายอักษะ มีเยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี ตุรกี และบัลแกเรีย ส่วนฝ่ายพันธมิตรทมีฝรั่งเศส รัสเซีย อังกฤษ เซอร์เบีย อิตาลี อเมริกา จีน ญี่ปุ่น เป็นหลัก
ลุงแซมนั้นโกรธแค้นเยอรมันมาก่อนแล้ว เพราะเยอรมันเปิดศึกใต้มหาสมุทรเรือดำน้ำถล่มชาติอื่นอย่างเมามัน หนหนึ่งโจมตีเรือโดยสารลูสิตาเนีย ซึ่งเป็นเรือโดยสารที่ไม่ติดอาวุธของอังกฤษจมลงใกล้ฝั่งทะเลของไอร์แลนด์ ในเรือมีคนอเมริกันรวมอยู่ด้วยและเสียชีวิต 139 คน ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1915 อเมริกาจึงประท้วงเยอรมันรัวๆ
ความแค้นฝังหุ่นยังไม่จบง่าย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนีชวนเม็กซิโกกับญี่ปุ่นให้ร่วมทำสงครามกับอเมริกา โดยเม็กซิโกจะได้รับผลตอบแทนคือรัฐนิวเม็กซิโก เท็กซัส และอริโซนาคืนจากอเมริกา จึงทำให้อเมริกาไม่พอใจถึงขั้นหนวดกระดิก
อเมริกานั้นชำนาญเรื่องการโฆษณาชวนเชื่อมานานแล้ว เลยใช้โอกาสนี้เปลี่ยนชื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของชอบของโปรดของมะริกัน ที่มีสำเนียงหรือสุ้มเสียงไปทางเยอรมันให้เป็นอเมริกันให้หมด สุดท้ายแฮมเบอร์เกอร์เลยกลายเป็น “แซนด์วิชเสรีภาพ”
หนักสุดเห็นจะเป็นกะหล่ำปลีดองแบบเยอรมันที่เรียกว่า Sauerkraut ออกเสียงภาษาไทยน่าจะประมาณนี้ “เซาเออร์เคราท์” ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “กะหล่ำปลีเสรีภาพ”
นอกจากอาหารสองอย่างนี้ ยังมีการเปลี่ยนชื่อไส้กรอกและหมา คือระดับความชังถูกปั่นให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการโฆษณาชวนเชื่อ ก่อนหน้าที่จะเรียกไส้กรอกว่า “ฮอทดอก” อเมริกันเรียกไส้กรอกว่าแฟรงเฟิร์ตเตอร์ ( Frankfurters.)
ไส้กรอกที่ขึ้นชื่อลือชาว่าอร่อยนักอร่อยหนานั้นมาจากแฟรงเฟิร์ต ชุนท์ คำว่า “แฟรงค์” เลยกลายมาเป็นคำที่ใช้เรียกไส้กรอกที่นำมาทำฮอทดอก พอเกิดการต่อต้านเยอรมันช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง อเมริกันบางโซนเลยเรียกว่าไส้กรอกเสรีภาพ ฟังแล้วหวาดเสียวชอบกล โชคดีที่ตอนหลังเลิกเรียกชื่อบ้าบอคอแตกเหล่านี้ ไม่งั้นคงลำบากแย่เวลาสั่งอาหาร อาจต้องสั่งว่า
“เอาขนมปังเสรีภาพสองก้อน ใส่กะหล่ำปลีเสรีภาพให้ด้วย แล้วเอาไส้กรอกเสรีภาพห่อกลับบ้านอันนึง”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี