ผมไม่ได้ลงคะแนนเสียงให้พรรคก้าวไกล ไม่ว่าจะในบัตรสีม่วงหรือบัตรสีเขียว แต่เมื่อพรรคก้าวไกลได้รับคะแนนเสียงมากที่สุด และเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ผมก็อนุโมทนาด้วย ทั้งไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งหากจะมีการหักหลังสลับขั้วเขี่ยพรรคก้าวไกลออกไปจากสมการการจัดตั้งรัฐบาล (ซึ่งมีความเป็นไปได้มาก แม้ นพ.ชลน่านจะออกมายืนยันเป็นครั้งที่ 501 เพราะคนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจให้พรรคเพื่อไทยไม่ใช่ นพ.ชลน่าน) และจะยิ่งไม่เห็นด้วยอย่างถึงที่สุด หากมีการสร้างสถานการณ์ที่อ่อนไหวแล้วนำรถถังออกมา
เหตุผลหรือครับ ?
ประการแรก นี่คือกติกามารยาทและธรรมเนียมปฏิบัติของการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย พรรคการเมืองใดได้รับความไว้วางใจจากผู้ออกมาใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งมากที่สุด พรรคนั้นย่อมมีความชอบธรรมในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
ย้ำอีกครั้ง แม้ว่าผมจะไม่ได้ลงคะแนนเสียงให้พรรคก้าวไกล แต่ผมก็ละอายใจเกินกว่าจะออกมาแถไถว่า คนที่ไม่ได้เลือกพรรคก้าวไกลมีมากกว่าคนที่เลือก
ประการต่อมา แม้พรรคก้าวไกลจะมีนโยบายไปแตะต้องมาตรา 112 และมีท่าทีโน้มเอียงไปทางนิยมตะวันตก ทั้งนายพิธาเองยังยืนยันหนักแน่นขณะตอบคำถามสื่อมวลชนในวันแถลง MOU ว่า แม้ใน MOU จะไม่พูดถึงมาตรา 112 แต่นโยบายเกี่ยวกับมาตรา 112 จะยังคงนำไปผลักดันต่อในสภาในนามของพรรคก้าวไกล ผมก็ไม่ได้วิตกอะไร
เพราะถึงอย่างไร สมาชิกส่วนใหญ่ในรัฐสภาก็คงไม่เอาด้วยกับพรรคก้าวไกลในเรื่องมาตรา 112
ที่น่าวิตกมากกว่าคือ ท่าทีและพฤติกรรมที่ผ่านมาของพรรคก้าวไกลที่โน้มเอียงไปทางตะวันตก ชอบเชื้อเชิญต่างชาติให้เข้ามาแก้ปัญหาให้ตน
ประการสุดท้าย ตราบใดที่ไม่ชักศึกเข้าบ้าน ไม่เชื้อเชิญต่างชาติเข้ามายุ่มย่ามกิจการภายในของประเทศเรา นายพิธาหรือใครก็ตามที่ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีตามกฎกติกาดังกล่าวข้างต้น ไม่ใช่เรื่องที่น่าวิตกทั้งนั้น
ประเทศเราปกครองโดยกลุ่มคนโกงในระบอบทักษิณมาแล้วร่วมสิบปี ปกครองโดยพวกคนดีสีเทาต่อมาอีกแปดถึงเก้าปี ประเทศไทยก็ยังอยู่ต่อไปได้ นายพิทากับพรรคก้าวไกลจะน่ากลัวสักแค่ไหนกัน
ด้วยเหตุนี้ แม้ผมไม่ได้ลงคะแนนเสียงให้พรรคก้าวไกล ผมก็ไม่คัดค้าน และไม่พยายามหาเหตุผลต่าง ๆ นานา มาขัดขวาง หรือด้อยค่า เพราะคนไทยได้ตัดสินใจแล้ว เมื่อผลการเลือกตั้งจากผู้ไปใช้สิทธิ์ออกมาเช่นนี้ ผมก็ต้องยอมรับ
ยอมรับเพื่อรักษาสิ่งที่เรียกว่า ระบอบประชาธิปไตย และไม่อยากให้ใครมาตราหน้าได้ว่าเป็นพวก “ประชาธิปไตยตามใจกู”
บ้านเมืองเราเวลานี้ มีพวก “ประชาธิปไตยไร้เดียงสา” ก็หนักหนาเพียงพอแล้ว พวกประชาธิปไตยไร้เดียงสา ที่ชอบก้าวร้าวถ่อยสถุล ไม่เห็นคุณค่าของคนรุ่นก่อนที่หล่อเลี้ยงคนรุ่นตนขึ้นมา พวกประชาธิปไตยไร้เดียงสา ที่โอหังบังอาจ ปฏิเสธครูบาอาจารย์ ปฏิเสธบรรพชน ปฏิเสธระเบียบวินัย ปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างที่ต่างจากตน อ้างประชาธิปไตย แต่เคลื่อนไหวกดดันคนอื่นให้คิดเหมือนตน
หากมาวันนี้ ต้องมามีพวกประชาธิปไตยตามใจกูขึ้นมาอีก
เมืองไทยจะอยู่กันต่อไปอย่างไรเล่า ?
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๖
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี