วันอาทิตย์ ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2568

เมื่อพูดถึงอารยธรรมอียิปต์โบราณ ทุกคนคงรู้จักดี เช่นเดียวกับอารยธรรมเมโสโปเตเมีย อียิปต์โบราณนั้นตั้งอยู่ระหว่างโลกตะวันตกและตะวันออก โลกตะวันตกคือดินแดนที่อยู่รอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งจะพัฒนาเป็นอารยธรรมกรีกและโรมันต่อไป ส่วนโลกตะวันออกคือดินแดนเมโสโปเตเมียและดินแดนในแถบลุ่มแม่น้ำสินธุนั่นเอง
หลายคนบางคนก็รับรู้เรื่องราวอารยธรรมโบราณแห่งนี้จากการขุดค้นพบสุสานฟาโรห์ตุตันคาเมน ฟาโรห์หนุ่มผู้สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น ซ้ำเป็นฟาโรห์ที่ไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไรนัก แต่เรื่องราวการค้นพบและทรัพย์สมบัติอลังการในหลุมศพทำให้ทั้งโลกรู้จักฟาโรห์พระองค์นี้ดีกว่าฟาโรห์พระองค์อื่นๆ ชื่อตุตันคาเมนเลยติดปากคนทั้งโลกจนกลายเป็นอมตะอย่างแท้จริง
นอกจากฟาโรห์ตุตันคาเมนจะเป็นฟาโรห์ยอดนิยมอมตะนิรันดร์กาลแล้ว ยังมีฟาโรห์ผู้โด่งดังอีกหนึ่งพระองค์ แถมพระองค์นี้ได้รับฉายาว่า “มหาราช” เสียด้วย นั่นคือฟาโรห์รามเสสที่ 2 ฟาโรห์รามเสสที่ 2 เป็นหลานปู่ของฟาโรห์รามเสสที่ 1 เพราะฟาโรห์รามเสสที่ 1 ครองราชย์ได้แค่ 2 ปีก็เสด็จไปเฝ้าเทพโอซิริส คาดว่าตอนขึ้นเป็นฟาโรห์ทรงพระชราแล้ว กระนั้นก็มีพระโอรสขึ้นเป็นฟาโรห์คือ ฟาโรห์เซดิที่ 1 ซึ่งสร้างความยิ่งใหญ่เกรียงไกรให้อาณาจักรอียิปต์โบราณเช่นกัน
ฟาโรห์เซติที่ 1 มีพระราชโอรสคือรามเสสที่ 2 ที่ครองราชย์ยาวนานถึง 66 ปีจนทรงมีพระชนมายุ 90 พรรษาจึงสิ้นพระชนม์ รามเสสที่ 2 ถือว่าเป็นฟาโรห์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อียิปต์เลยก็ว่าได้
กาลเวลาผ่านผันสามพันกว่าปี บรรดาฟาโรห์เสด็จไปโลกหลังความตายกันหมดแล้ว โจรก็ลอบปล้นสุสานฟาโรห์อย่างไม่เกรงกลัว จนมีการเจอหลุมลึกลับที่ซ่อนพระศพของฟาโรห์หลายพระองค์ในหุบเหว เพราะนักบวชเคลื่อนย้ายออกจากสุสานอันอลังการ คือย้ายมาแต่หีบศพ เพื่อปกป้องเจ้านายตน จากนั้นก็เอามากองรวมกันในถ้ำแห่งหนึ่ง แต่ไม่วายโดนปล้นไม่รู้รอบที่เท่าไหร่
ในโถงถ้ำแห่งนี้นี่แหละที่เจอสมาชิกราชวงศ์ 19 กันพร้อมหน้าทั้งฟาโรห์พ่อคือฟาโรห์เซดิที่ 1 และลูกคือฟาโรห์รามเสสที่ 2 แต่ไม่ยักเจอฟาโรห์รามเสสที่ 1 มีแต่โลงพระศพจารึกพระนามรามเสสที่ 1 แต่พระศพนั้นล่องหนไปไหนไม่รู้ใครรู้ได้ ในสุสานรามเสสที่ 1 ก็ไม่มี
มัมมี่หลวงเหล่านั้นจึงได้รับกียรติเคลื่อนย้ายไปพักผ่อนต่อในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอียิปต์ในไคโร ต่อมาฟาโรห์รามเสสที่ 2 แห่งราชวงศ์ที่ 19 มีอันต้องเดินทางออกนอกอียิปต์ จึงต้องทำหนังสือเดินทางเพื่อไปปารีส นอกจากจะโด่งดังในฐานะมหาราช ยังเป็นฟาโรห์พระองค์แรก ที่มีพาสปอร์ตเดินทางเสียด้วย โดยเดินทางไปฝรั่งเศสหลังสามพันกว่าปีให้หลัง
ตอนนั้นคิดว่ารามเสสที่ 2 ทรงพระโมเดิร์นสุดๆ แล้ว ได้บินหรูหราร่าเริงไปปารีส แต่มาเจอข้อมูลว่าเสด็จปู่ของพระองค์ ซึ่งก็คือฟาโรห์รามเสสที่ 1 เด็ดกว่านั้นอีกคือ สามพันปีหลังสวรรคต พระองค์เดินทางโดยทางเรือมายังแคนาดาแล้วมาอเมริกา โดยที่ไม่มีใครระแคะระคายเลยว่านี่คือ มัมมี่ฟาโรห์แห่งอียิปต์
ดร.เจมส์ ดักกลาส ชาวแคนาดาที่คลั่งไคล้เรื่องราวของมัมมี่และอียิปต์โบราณจนเดินทางไปอิยิปต์ เพื่อซื้อมัมมี่มาประดับบ้านโดยวางพิงฝาบ้านไว้ตรงระเบียง เชื่อว่าในเวลานั้นเพื่อนบ้านคงไม่ค่อยอยากไปเยี่ยม และขโมยคงไม่อยากย่างกรายไปบ้านดร.แน่ๆ โดยเฉพาะยามราตรี
ต่อมาในปี ค.ศ 1860 หรือ พ.ศ.2403 ก็นำไปไว้ในพิพิธภัณฑ์น้ำตกไนแองการ่า ช่วงเวลานั้นยังไม่มีกฎหมายห้ามนำวัตถุโบราณออกนอกอียิปต์หรือนำเข้าประเทศต่างๆ พอมัมมี่เหล่านี้มาถึง ก็จัดแสดงขึ้นขั้นวางเรียงกันอย่างดีให้คนชม
หนึ่งในจำนวนมัมมี่ที่จัดแสดง มีมัมมี่ตนหนึ่งที่ไขว้มือประสานระหว่างอก แตกต่างไปจากมัมมี่ทั่วไป แถมยังปราศจากผ้าพันศพอีกด้วย เลยทำให้คนไม่สนใจเท่าไหร่ อย่าลืมว่าในช่วงปี 1800-1860 ยังไม่ได้มีการค้นพบสุสานฟาโรห์ตุตันคาเมน เลยไม่มีใครสงสัยว่าทำไมมัมมี่ผู้ล่อนจ้อนปราศจากผ้าพันจึงไขว้แขนไว้ที่หน้าอก
เวลาล่วงเลยไปอีกหลายสิบปี มัมมี่ปริศนายังนอนไขว้แขนบนชั้นวางอย่างเดียวดาย จนกระทั่ง ปี 1966 วิศวกรเยอรมันคนหนึ่งไปทำธุระที่ไนแองการ่า พอดีมีเวลาเหลือเลยฆ่าเวลาด้วยการเข้าพิพิธภัณฑ์ แล้วก็เจอมัมมี่ร่างที่ว่านี่เข้า สันนิษฐานว่ามัมมี่ปริศนาที่นอนเดียวดายไร้ผ้าพันคือมัมมี่ของราชินีเนเฟอร์ตีติ ด้วยความกระหายใคร่รู้ จึงพาผู้เชี่ยวชาญไปด้วย แต่พอเปลื้องผ้าที่คลุมไว้ตรงท่อนล่างออกจนหมดก็พบว่ามัมมี่ตนนี้เป็นเพศชาย
หลังตรวจสอบโน่นนี่ก็พบว่า มัมมี่ตนนี้เป็นฟาโรห์อย่างแน่นอน ด้วยลักษณะการไขว้แขน ต่อมามีการนำข้าวของที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์น้ำตกไนแองการ่ามาขายทอดตลาด รวมทั้งมัมมี่อียิปต์ด้วย พิพิธภัณฑ์ไมเคิล ซี คาร์โลที่แอตแลนต้าจึงซื้อมัมมี่ทุกร่างและสมบัติอื่นมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ มัมมี่ปริศนาจึงเดินทางจากแคนาดามาสู่รัฐแอตแลนต้า ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของอเมริกา
นักโบราณคดีได้พยายามค้นหาคำตอบว่ามัมมี่ลึกลับนี้เป็นฟาโรห์พระองค์ไหน จนมีการตั้งข้อสังเกตว่ารูปลักษณะโดยรวมคล้ายคลึงกับมัมมี่ฟาโรห์เซติที่ 1 รามเสสที่ 2 จึงสงสัยว่ามัมมี่ตนนี้อาจจะเป็นฟาโรห์รามเสสที่ 1
ทางพิพิธภัณฑ์จึงทดสอบด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ด้วยการเอ็กซเรย์มัมมี่ลึกลับ แล้วนำไปเทียบกับฟิล์มเอ็กซ์เรย์ที่เคยมีการเอ็กซเรย์มัมมี่หลวงราชวงศ์ที่ 19 ปรากฏว่า มัมมี่ลึกลับคือฟาโรห์รามเสสที่ 1 จริงๆ ทางพิพิธภัณฑ์จึงจัดแสดงบนครอบแก้วเพื่อเป็นเกียรติแก่ฟาโรห์อียิปต์หนึ่งเดียวในอเมริกา เพราะมัมมี่ในพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ไม่มีร่างไหนเลยที่เป็นมัมมี่หลวง
ทางพิพิธภัณฑ์ส่งคืนทางการอียิปต์ปลายปี ค.ศ. 2003 หรือพ.ศ.2546 โดยให้ฟาโรห์รามเสสที่ 1 เดินทางข้ามฟ้าโดยสายการบินฝรั่งเศสอย่างโก้หร่าน แถมพอถึงแผ่นดินเกิด ก็มีกองดุริยางค์ทหารอียิปต์ต้อนรับ สุดท้ายฟาโรห์ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ที่ 19 ก็ได้พำนักยังแผ่นดินแม่อีกครั้ง ถือเป็นชีวิตหลังความตายที่น่าตื่นเต้นไม่น้อย เพราะล่องเรือเดินสมุทรข้ามไปแคนาดา และอยู่ที่นั่นยาวนานหลายสิบปีจนเดินทางอเมริกา และสุดท้ายได้กลับแผ่นดินอันเป็นที่รัก

เปิดแผน บริการ ระบบขนส่งสาธารณะ วันอาทิตย์ที่ 26 ต.ค.นี้
มีเรื่องเล่าเมื่อ 20 ปีก่อน! 'ดร.ธรณ์' เปิดความทรงจำที่ภูพิงค์ เข้าเฝ้า'พระพันปีหลวง' หลังเหตุสึนามิ
‘อนุทิน’ถึงมาเลเซียแล้ว เตรียมร่วมพิธีเปิดประชุมสุดยอดอาเซียนพรุ่งนี้
'บอดี้สแลม'ยืนถวายอาลัย 'สมเด็จพระพันปีหลวง'ก่อนแสดง (คลิป)
นครบาลเผยเส้นทางเลี่ยง เคลื่อนพระบรมศพ 'สมเด็จพระพันปีหลวง' สู่พระบรมมหาราชวัง

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี