นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยนั่งยันนอนยัน ว่าประเทศไทยเวลานี้มีวิกฤต แม้ใครต่อใครจะติติงเสนอแนะอย่างไรก็ไม่ฟัง ต้องการจะเดินหน้านโยบาย “ดิจิทัล วอลเล็ต” ให้สำเร็จให้ได้ แถมยังบอกว่า เงิน 1 หมื่นบาทที่จะแจกนั้น ไม่ใช่เป็นการแจก แต่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ
วิกฤตของรัฐบาลที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี อ้างมาตลอดก็คือ ช่วงเวลาเก้าปีสิบปีที่ผ่านมา ประเทศไม่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ เนื่องจากจีดีพี หรือการขยายตัวทางเศรษฐกิจมีแค่ 1.9 เปอร์เซ็นต์และยังเปรียบเทียบว่า ประเทศเพื่อนบ้านของเราในอาเซียน ทั้งเวียดนาม, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ มี จีดีพี โตกว่าประเทศไทยสองเท่า
“สมัยก่อนอาจจะอยู่ในโลกของเราคนเดียวได้แต่ปัจจุบันอยู่ในโลกการแข่งขัน ถ้าไม่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ วันหนึ่งอาจไม่มีใครอยากมาลงทุนที่ไทย รัฐบาลเชื่อว่า เราอยู่ในวิกฤตที่ต้องการการกระตุ้น แม้คนอื่นจะบอกว่า ไม่จำเป็น ไม่ต้องใช้เงินขนาดนี้ กระตุ้นแค่คนจนที่มีรายได้ต่ำจริงๆ ก็พอ หากเถียงกันไปอย่างนี้ก็ไม่จบ” เศรษฐา ทวีสิน ว่าอย่างนั้น โดยให้สัมภาษณ์ข้ามฟ้ามาจากซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อสองวันก่อนและยังได้กล่าวว่า “ผมเป็นนายกฯ ที่มาจากพรรคอะไร พรรคเพื่อไทย สื่อก็บอกว่า หาเงินได้ใช้เงินเป็นผมก็มั่นใจว่า ผมหาเงินได้ใช้เงินเป็น”
อย่างไรก็ตาม ถ้าไปดูข้อมูลข้อเท็จจริงของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็จะพบว่า ล่าสุดเมื่อเร็วๆ นี้เอง ธปท.เปิดเผยถึงภาพรวมทางเศรษฐกิจของไทยว่ามีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ปี 2566 จีดีพีอยู่ที่ 2.8 เปอร์เซ็นต์ และปีหน้าคือปี 2567 การขยายตัวจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.4 เปอร์เซ็นต์ โดยมีผลมาจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ภาคเอกชนมีการลงทุนเพิ่ม รวมทั้งการส่งออกน่าจะฟื้นตัวขึ้นเป็น 4.2 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงอุปสงค์หรือดีมานด์ในประเทศที่มีแนวโน้มขยายต่อเนื่อง เป็นต้น
ฟังข้อมูลของแบงก์ชาติแล้ว ไม่เห็นว่าเราจะมีวิกฤตตรงไหนที่จะต้องเดินหน้านโยบาย “ดิจิทัล วอลเล็ต” ให้ได้ ท่ามกลางเสียงที่ไม่เห็นด้วยของทุกภาคส่วนในประเทศนี้ เว้นแต่พรรคเพื่อไทยจะมีผลประโยชน์อย่างอื่นทับซ้อนเท่านั้นจึงพยายามจะทำให้สำเร็จ
นอกจากนี้ ที่นายเศรษฐา ทวีสิน พูดว่า “ผมหาเงินได้ใช้เงินเป็น” นั้น เมื่อตรองดูแล้ว ยังไม่เห็นว่ารัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ มีโครงการอะไรที่เป็นการหาเงินเข้ารัฐ ทั้งระยะสั้นและระยะยาว นอกจากกินบุญเก่าที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ทำไว้ทั้งการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ หลายโครงการตลอดจนการชักชวนนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในบ้านเรา ไม่ว่าจะโครงการรถไฟรางคู่ รถยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งแลนด์บริดจ์ หรือแม้แต่การพัฒนาประเทศที่ยั่งยืนโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
เท่าที่เห็นจากผลการประชุมคณะรัฐมนตรีทุกสัปดาห์นับตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้าบริหารประเทศมีแต่มติเห็นชอบอนุมัติการใช้เงิน เรียกว่าถลุงไปแล้วกว่า 3 แสนล้านบาท ทั้งอนุมัติงบประมาณแผ่นดินและก่อหนี้ผูกพัน ขณะที่ปากบอกว่าเศรษฐกิจแย่ประเทศมีวิกฤต
ยกมาให้ดูเป็นหนังตัวอย่าง อาทิ การประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ 14 พฤศจิกายน สองวันที่ผ่านมานี้เอง เพิ่งมีมติอนุมัติวงเงินงบประมาณ 5.63 หมื่นล้านบาท (53,321.97 ล้านบาท) เพื่อใช้สำหรับมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกปีการผลิต 2566/67 และก่อนหน้านี้ก็ได้อนุมัติงบกลาง 1.2 หมื่นล้านบาท เพื่อพักชำระหนี้ให้แก่เกษตรกรรายย่อย หรืออย่างเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566 ในการปรับลดภาษีน้ำมันดีเซลอีกสามเดือน เป็นผลทำให้กรมสรรพสามิตขาดรายได้ถึง 1.5 หมื่นล้านบาท
ถามว่านี่ละหรือ “ผมหาเงินได้ใช้เงินเป็น” ของนายเศรษฐา ทวีสิน และยังไม่นับรวมที่ตะลอนเหมาเครื่องบินไปต่างประเทศรวมทั้งค่ากินค่าอยู่ถึงวันนี้ก็ 10 ครั้ง ตั้งแต่นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ถ้าเฉลี่ยคร่าวๆ30 ล้านบาทต่อครั้ง โดยคำนวณจากการเดินทางไปประชุมยูเอ็นที่ประเทศสหรัฐอเมริกาครั้งแรกระหว่างวันที่18-24 กันยายน เมื่อสองเดือนก่อน ตัวเลขกลมๆ ก็ประมาณ 300 ล้านบาท
ไม่เพียงแต่เท่านั้น เมื่อวันอังคารที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้มีการเปลี่ยนรถยนต์ประจำตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี เป็นชุดใหม่ทั้งหมด เนื่องจากรถชุดเดิมหมดสัญญาเช่าดังนั้นจึงต้องมีการเปิดประมูลใหม่ ซึ่งได้บริษัทเดิมที่ให้ราคาต่ำสุดอยู่ในวงเงินไม่เกิน 60 ล้านบาท เป็น“รถเมอร์เซเดส เบนซ์ s 350d” สีดำ มีสัญญาเช่า 5 ปี
อีกทั้งยังเตรียมแผนที่จะเช่ารถยี่ห้อ Lexus เป็นการเฉพาะให้กับนายกรัฐมนตรีใช้ ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับที่นายเศรษฐา ทวีสิน เคยนำมาใช้และอ้างว่าลูกสาวซื้อให้ ด้วยเหตุผลเนื่องจากนายเศรษฐาเป็นคนตัวสูงอาจไม่สะดวกกับการนั่งรถเก๋ง ทั้งๆ ที่ในปัจจุบันนี้รถประจำตำแหน่งกันกระสุนของนายกรัฐมนตรียี่ห้อเบนซ์มีอยู่แล้วถึง 4 คัน
ดูๆ แล้ว ประเทศไทยแทนที่เศรษฐกิจจะขยายตัวกลับเป็นว่าจะเกิดวิกฤตเพราะการบริหารประเทศของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย จากการดันทุรังที่จะเดินหน้าโครงการดิจิทัล วอลเล็ต 5 แสนล้านบาท นี่ยังไม่นับรวมเงินก้อนโตที่จะใช้สำหรับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท ทั้งการลงประชามติและการเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือ ส.ส.ร.
ถามว่าที่ “หาเงินได้ใช้เงินเป็น” นั้น คือการกู้มาเพื่อล้างผลาญหรืออย่างไร ?!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี