ใครจะคิดว่าความเชื่อนำไปสู่ความตาย จำได้แม่นยำว่าเคยมีปกนิตยสารเล่มหนึ่งลงภาพสีเต็มหน้า แสดงภาพศพนับพันเกลื่อนไปทั่วบริเวณ ภาพนั้นเกี่ยวข้องกับลัทธิสยองโลกที่เรียกว่า “โบสถ์แห่งประชาชน” น่าแปลกใจว่าเหตุใดผู้คนนับพันจึงยอมตาย คงต้องย้อนไปสู่จุดเริ่มต้นของลัทธินี้
จิม โจนส์ ตั้งตนขึ้นเป็นศาสดาโบสถ์แห่งประชาชน เติบโตในครอบครัวเคร่งศาสนา ท่องจำไบเบิ้ลตั้งแต่อายุ 8 ปี พออายุ 17 ปี ไปเป็นนักเรียนฝึกหัดเพื่อจะเป็นบาทหลวงของนิกายเมโธดิสต์ จนกระทั่งอายุ 21 ปี แต่งงานกับมัลเซลีน บอลด์วินด์ ซึ่งเป็นนางพยาบาล จากนั้นก็ถอนตัวออกจากนิกายเมโธดิสต์ออกมาเป็นนักเผยแพร่ศาสนาอิสระ
ในปี ค.ศ. 1957 จิมก่อตั้งลัทธิโบสถ์แห่งประชาชนขึ้นเพื่อเผยแพร่คำสอน โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นคนผิวดำในเมืองที่ตนเติบโตขึ้นมานั่นเอง เพราะอยากตั้งสังคมอุดมคติเป็นแบบสังคมนิยมโดยไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติ จากนั้นเริ่มรณรงค์ต่อต้านการเหยียดผิวทั้งการออกเดินขบวนและออกรายการโทรทัศน์ จึงได้รับความนิยมจนทำให้โบสถ์เติบโตอย่างรวดเร็วและมีสาวกหลายพันคน ต่อมาจิมเริ่มปฏิเสธพระเจ้าและมีสภาพจิตผิดปกติ มีอารมณ์รุนแรงจนต้องพึ่งยาระงับประสาท มักชักชวนสาวกให้บริจาคสมบัติทั้งหมดให้โบสถ์ แล้วใช้ชีวิตในโบสถ์แทนการอยู่บ้าน โดยอ้างว่านี่เป็นการสร้างหนทางสู่สวรรค์
ช่วงนี้เองเริ่มมีความสัมพันธ์แบบชู้สาวกับสาวกทั้งกับผู้หญิงและผู้ชาย ทำให้ชีวิตแต่งงานเริ่มระหองระแหง จนกระทั่งสร้างฮาเร็มขึ้นในหมู่สาวก แต่กลับตั้งกฏให้งดเว้นการมีเซ็กซ์ระหว่างสามีภรรยาเพื่อให้ความสัมพันธ์ของครอบครัวอ่อนลง เด็กๆ ถูกแยกจากพ่อแม่ การทำเช่นนี้เองทำให้สาวกมารวมกันที่โบสถ์สมดังปรารถนาของจิมในการสูบทรัพย์สมบัติคนอื่นเข้ากระเป๋าตัวเอง จิมสั่งให้สาวกเรียกตนเองว่า "บิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์" และเริ่มสร้างความศรัทธาในการฆ่าตัวตายหมู่ เพื่อที่วิญญาณของทุกคนเป็นหนึ่งเดียว และได้รับความสุขอันเป็นนิรันดร์ที่ดาวดวงอื่น
ในปี ค.ศ. 1977 โบสถ์แห่งประชาชนย้ายสาวกกว่าพันคนไปสร้างเมือง "โจนส์ทาวน์" บนพื้นที่กว่า 300 เอเคอร์ในประเทศกิอานาในอเมริกาใต้ แล้วปกครองด้วยระบบเผด็จการ สาวกชายหญิงถูกแยกไปอยู่คนละเขต ส่วนเด็กถูกกันให้อยู่อีกที่หนึ่ง ปกครองโดยกลุ่มคนผิวขาว ส่วนคนผิวดำต้องทำงานใช้แรงงานตั้งแต่เช้าจรดเย็น ก่อนจะถูกบังคับให้เข้าพิธีในตอนกลางคืนซึ่งต่อเนื่องไปจนถึง ตี 2-ตี 3 ของอีกวัน ผู้ที่คิดหลบหนีจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง
ชุมชนนี้สามารถสื่อสารกับโลกภายนอกแค่เพียงไปรษณีย์และโทรศัพท์คลื่นสั้นเท่านั้น ซึ่งการสื่อสารเหล่านี้ถูกควบคุมเข้มงวด สาวกในโจนส์ทาวน์เริ่มเบื่อหน่ายกับชีวิตที่ดูไม่เหมือนที่จิมเคยโฆษณาเอาไว้ โดยเฉพาะการเผยแพร่ความเชื่อ ผ่านเครื่องกระจายเสียงติดตั้งลำโพงที่หน้าโบสถ์ดังกรอกหูอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันส่งผลให้อดีตสาวกจำนวนมากออกมาฟ้องศาล หลบหนีจากโจนส์ทาวน์ไปขอความช่วยเหลือจากสถานฑูตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เรื่องราวเหล่านี้ทำให้เกิดกลุ่มแอนตี้จิม โจนส์ขึ้นมา ทำให้ส.ส.ไรอัน จากรัฐแคลิฟอร์เนียยื่นจดหมายขอตรวจสอบโจนส์ทาวน์
วันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1978 ส.ส.ไรอันพร้อมกับนักข่าว อดีตสาวกและครอบครัวของสาวกจำนวน 19 คนเดินทางไปประเทศกิอาน่า หลังเจรจาผ่านทนายหลายชั่วโมง ชาวนิคมโจนส์ทาวน์ก็ยอมเปิดประตูรับกลุ่มส.ส.ไรอันเข้าไปภายใน
ภาพที่เห็นดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร เด็กๆ เล่นอยู่ในสนามเด็กเล่น ผู้ใหญ่ทำงานในไร่อย่างอิสระไม่มีทีท่าว่าถูกบังคับ พอตกค่ำจิมก็จัดเลี้ยงคณะมาเยือน แถลงอย่างภูมิใจว่าผักผลไม้เก็บสดๆ มาจากไร่ กลุ่มของส.ส.ไรอันเกือบจะเชื่อว่าข้อครหาต่อโจนส์ทาวน์เป็นเพียงข่าวลือ แต่ความมาแตกในวันที่ 4 ของการมาเยือน นักข่าวพบกระท่อมที่ดูผิดปกติหลังหนึ่ง ในกระท่อมมีคนแก่และคนเจ็บนอนเรียงกันแน่นขนัดบนเตียงเก่าๆ เต็มไปด้วยกลิ่มเหม็นเน่าจากบาดแผลที่ไม่ได้ทำความสะอาด แถมมีแมลงวันบินว่อน มีแม้กระทั่งตัวหนอนคลานยั้วเยี้ยทั่วบริเวณ
ทั้งกลุ่มจึงรู้ว่าสภาพที่แท้จริงของชุมชนนี้เป็นอย่างไร วันที่ 18 พฤศจิกายน ส.ส.ไรอันออกจากโจนส์ทาวน์ตามกำหนดการพร้อมพาสาวกจำนวน 16 คนซึ่งต้องการถอนตัวกลับไปด้วย แต่เมื่อทั้งหมดกำลังจะขึ้นเครื่องบิน ลารี่ เลย์ตัน หนึ่งในสาวกที่อ้างว่าขอออกจากชุมชนเพื่อกลับอเมริกาชักปืนออกมายิงกลุ่ม ส.ส.ไรอันและผู้ติดตามรวม 5 คนเสียชีวิต เพียง 40 นาทีหลังการโจมตีสนามบิน จิมก็รวบรวมสาวกทั้งหมดมาร่วมในพิธี "ไวท์ไนท์"
นางพยาบาลฉีดไซยาไนด์ให้เด็กๆ ก่อน สาวกทุกคนไม่ได้จะยินยอมพร้อมใจกับการฆ่าตัวตายนี้แต่อย่างใด เพราะมีทั้งผู้คัดค้านและผู้ที่พยายามจะหนี แต่ถูกสาวกคนอื่นจับกรอกไซยาไนด์ลงปากหรือถูกยิงอย่างโหดเหี้ยม มีเพียงส่วนหนึ่งที่หนีรอดออกมาได้ จากสาวกกว่า 1100 คน มีเพียง 167 คนที่รอดมาได้ ในจำนวน 900 กว่าคนที่เสียชีวิตนั้น คาดการณ์ว่ามีถึง 300 กว่าคนที่ถูกฆ่า เกือบ 300 ศพจากทั้งหมดเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ศพของจิมถูกพบบนแท่นพิธี ที่ศีรษะด้านขวามีรอยกระสุน ปิดตำนานโบสถ์สยองขวัญสะท้านโลก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี