อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยยังคงตั้งเด่นอยู่กลางถนนราชดำเนิน มันประกาศตัวตนว่าประเทศนี้ “เป็นประชาธิปไตย” แต่นับวันมันก็เป็นเพียงแค่ “วงเวียน” สำหรับให้รถวิ่งอ้อมมันเท่านั้น ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยและประเทศชาติแต่อย่างใด
ระบอบประชาธิปไตยที่แปลตามพยัญชนะว่า “ประชาชนเป็นใหญ่” แปลตามอรรถดังที่ท่านพุทธทาสภิกขุกล่าวคือ “ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่”
ส่วนประเทศชาติมีความหมายว่า “รัฐหรืออาณาจักรที่ชนหลายเชื้อชาติอยู่ร่วมกัน”
แต่ทั้งคำว่าระบอบประชาธิปไตยและประเทศชาติก็ไม่ได้เกี่ยวกันอีก
กลายเป็นว่าอนุสาวรีย์ก็แค่ปูนปั้นกลางวงเวียน ระบอบประชาธิปไตยก็เป็นเพียงคำพูดติดปากของพวกกระหายอำนาจและพวกลิ่วล้อกองเชียร์นักการเมือง แต่ในจิตสำนึกของพวกเขาก็ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยแต่อย่างใด
คำว่าประชาธิปไตยถูกตีความ ให้ความหมาย อธิบายความเอาตามประโยชน์ของใครของมัน พวกใครพวกมัน มันจึงกลายเป็นการสร้างปัญหาความขัดแย้งในประเทศชาติอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้
พวกคอมมิวนิสต์ก็เคยขอจดทะเบียนตั้งพรรคกับคณะกรรมการการเลือกตั้งมาแล้ว เพราะพวกเขาคิดว่า “ประชาธิปไตยคือประชาชนเป็นใหญ่” “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย”
พวกเขาเป็นประชาชนจึงย่อมมีสิทธิที่จะจัดตั้งพรรคเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่ตั้งพรรคขึ้น แต่ถูกคณะกรรมการการเลือกตั้งปฏิเสธ
ผมคิดแทนคณะกรรมการการเลือกตั้งว่า แม้ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญที่ประกาศว่า “ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” มันชัดเจนอยู่แล้วว่าการขอจัดตั้งพรรคการเมืองนั้นจะต้องมีหลักการและนโยบายที่เป็นประชาธิปไตย และมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่พรรคคอมมิวนิสต์ก็ประกาศอุดมการณ์มานับแต่มันอุบัติขึ้นแล้วว่าเป็น “เผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ” มันจึงเป็นคู่ขัดแย้งกับระบอบประชาธิปไตย
พวกที่ไม่ต้องการให้มีสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ประกาศว่า “การมีสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะกษัตริย์ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน” ซ้ำยังเป็นโครงสร้างส่วนบนสุดที่กดขี่-กดทับภาคส่วนอื่นๆ ของสังคม และความหวัง+ความฝันของพวกเขา
พวกเขาเป็น “ลิเบอรัล” ที่ต้องการให้ประเทศชาติเป็น “สาธารณรัฐ” ไม่ใช่ “ราชอาณาจักร” อย่างปัจจุบัน
พวกคอมมิวนิสต์และลิเบอรัลในประเทศไทยต่างก็อยาก “ปฏิวัติ” เพราะมันรวดเร็วทันใจพวกตนดี แต่ประชาชนทั่วไปกับทหารไม่เอาด้วย พวกเขาจึงต้องเข้าไป “ต่อสู้” ในสภา เช่นพยายามจะร่างรัฐธรรมนูญใหม่หรือแก้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
แต่พวกคอมมิวนิสต์จัดตั้งพรรคตามกฎหมายไม่ได้ ส่วนพวกลิเบอรัลจัดตั้งพรรคได้สำเร็จ และเมื่อมีการเลือกตั้งก็ได้รับคะแนนเสียงจากการเลือกตั้งเป็นพรรคอันดับ 1 และ 2 ในปัจจุบัน
พรรคส้มเข้าสภาได้ก็พยายามเสนอร่างรัฐธรรมนูญใหม่รวมทั้งแก้ไข....ถ้าได้ลิดรอนพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ก็ถือว่าพวกเขาสำเร็จแล้วขั้นหนึ่ง และยังจะมีขั้นอื่นๆ ตามมาอีก เช่น กฎหมายลูกของรัฐธรรมนูญเป็นต้น
ส่วนบรรดานักการเมืองทั่วไปที่ไม่ปฏิเสธสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งไม่ปฏิเสธพวกลิเบอรัลก็ไม่คิดเยอะ อุดมการณ์ของพวกเขาคือ “อะไรก็ได้ขอเพียงให้มีการเลือกตั้งก็พอ” ถือว่าเป็นประชาธิปไตยสูงสุดแล้ว เพราะมันเปิดโอกาสให้พวกเขาเข้าไปมีอำนาจปกครองประเทศได้
เมื่อมีอำนาจปกครองประเทศก็ย่อมกอบโกยผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นของตนได้ อย่างที่เห็นกันต่อเนื่องมายาวนานจนวันนี้เมื่อ “ตระกูลชิน” ครองอำนาจ และมีพรรคอื่นๆ ที่ยึดมั่น “อุดมการณ์อะไรก็ได้” เข้าสนับสนุน
มองที่ประชาชน “ผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย” หรือ “ผู้เป็นใหญ่ในระบอบประชาธิปไตย” บ้าง ส่วนมากก็เหมือนกับพวกนักการเมืองทุกพรรค เลือกตามจริต ตามข้อมูลข่าวสาร ตามสติ
ปัญญาของตน แต่มีคุณสมบัติร่วมกันคือ “อะไรก็ได้”
อะไรก็ได้ที่แปลว่า “ใครจะมีอำนาจอะไร ทำอะไรก็ทำไป ขอมีอะไรให้ตนบ้าง”
คนพวกนี้จึงถูกนักการเมืองครอบงำและครอบครองจิตสำนึกเสมอมา จนเป็นลิ่วล้อกองเชียร์ เป็นข้าทาส เป็นนายแบกนางแบกอย่างออกหน้าออกตา ไม่รู้ดีรู้ชั่ว ไม่รู้ถูกรู้ผิด ไม่สนใจว่าประเทศชาติจะหายนะหรือไม่
เมื่อเห็นประชาชนกับนักการเมืองเป็นอย่างนี้แล้ว....ระบอบประชาธิปไตยก็เหมือนสรรพอาวุธของนักการเมืองที่ใช้ต่อสู้แย่งอำนาจปกครองประเทศชาติ ส่วนประเทศชาติก็ถูกย่ำยีก็เหมือน “หญ้าแพรกที่แหลกลาญเพราะพวกช้างสารชนกัน”
“การเมือง นักการเมือง ประชาชนรัฐซ่อนลึก” จะต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันไปอีกนาน ถ้าประชาชนส่วนมากยังเป็นอย่างในปัจจุบัน...ไม่มีสติปัญญาที่จะรักษา “อธิปไตยของตนให้อยู่กับตน” ได้ เพราะบ้าแห่บ้าเห่อนักการเมืองแล้วยกให้พวกเขาไปผูกขาด
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี