“ชีวิตที่มืดบอดกำเนิดขึ้นในยุคสมัยที่มืดบอด ยุคสมัยที่มืดบอดกำเนิดขึ้นในยุคที่ชีวิตผู้คนมืดบอด”
ทั้งชีวิตและยุคสมัยต่างเป็นผลิตผลแก่กัน ชีวิตใครจะรอดพ้นจากความมืดบอดและยุคสมัยอันมืดบอดได้นั้นก็ต้องพึ่งสติปัญญาของตัวเองล้วนๆ แม้คนอื่นที่มีสติปัญญาก็ช่วยได้ก็เพียงแนะนำหรือชี้ทาง
ในยุคที่ผู้คนเชื่อไสยศาสตร์ เชื่อปรากฏการณ์ของธรรมชาติ ว่ามีเทพหรือพระเจ้าดลบันดาล จนต้องเริงระบำเอาใจ หรือสร้างเครื่องสังเวย มีการบูชายัญด้วยสัตว์และชีวิตมนุษย์ ซึ่งคนรุ่นหลังบอกว่าเป็นเรื่องที่โง่เขลางมงาย เพราะคนรุ่นหลังนี้กำเนิดขึ้นในยุควิทยาศาสตร์ที่กำลังแพร่หลายและได้รับการยอมรับว่า “เป็นความจริง – เป็นสิ่งที่ถูกต้อง” บ้างถึงกับเลยเถิดว่าเป็น “สัจธรรม”
เมื่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพัฒนามาถึงขั้น “สร้างโลกใหม่” ขึ้นมาทับซ้อนโลกธรรมชาติได้ ที่เรียกว่า “โลกออนไลน์” มนุษย์ยุคสมัยนี้ก็ยิ่งเห็นว่ามนุษย์ยุคสมัยอดีตนั้นไม่มีสติปัญญา เป็นมนุษย์ที่มีชีวิตมืดบอดและได้สร้าง “ยุคสมัยแห่งความมืดบอด” ขึ้นมาครอบงำชีวิตตน
แล้วมนุษย์ใน “ยุคสมัยออนไลน์” มีชีวิตที่มืดบอดหรือไม่? และอยู่ในยุคสมัยที่มืดบอดหรือไม่?
ผมเชื่อว่ามีน้อยคนที่จะฉุกสงสัยและตั้งคำถามนี้ และพิจารณาจนเห็นว่ามีผู้คนมหาศาลที่มียังชีวิตมืดบอดและกำลังอยู่ในยุคสมัยแห่งความมืดบอด ส่วนคนที่เป็นเสมือนซากปรักหักพังไปตามกระแสแห่งสังคม คงไม่ฉุกสงสัยและตั้งคำถาม เพราะพวกเขาย่อมเชื่ออย่างฝังใจอยู่แล้วว่าชีวิตของเขารุ่งโรจน์และอยู่ในยุคสมัยที่สว่างไสวด้วยสติปัญญา
คนในยุคสมัยออนไลน์มืดบอดเรื่องอะไร?
มืดบอดตั้งแต่เชื่อว่า “ชีวิต” นั้นมีตัวตนและเป็นของตนเองแล้วก็หลงตนเช่นเดียวกับคนทุกยุคสมัย มืดบอดที่เชื่อว่าวิทยาศาสตร์เป็นสัจธรรม อะไรที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ย่อมไม่ใช่สัจธรรม ทั้งที่วิทยาศาสตร์ก็ลองผิดลองถูกเสมอมา และเพิ่งเริ่มต้น แม้จะใช้เวลามานับร้อยปีแล้ว
แต่ผมจะพูดถึงความมืดบอดที่กำลังครอบงำสังคมไทยในช่วงปี 2544 จนถึงปัจจุบันนี้ นั่นคือความมืดบอดที่เกิดจากความเชื่อใน “ลัทธิ อุดมการณ์ ทฤษฎีต่างๆ” ว่าเป็น “วิทยาศาสตร์สังคม” และเป็นสัจธรรมหรือความจริงแท้ ซ้ำยังเชื่อกันต่อไปอีกว่ามันเป็น “ลัทธิแห่งมนุษยธรรม” เพราะเป้าหมายเพื่อสร้างความเป็นธรรมเท่าเทียมกันของมนุษย์
แต่ต้องแบ่งเป็นชนชั้น เพื่อเข่นฆ่าทำลายล้างกันก่อน! จนเหลือแต่ชนชั้นกรรมาชีพ ซึ่งพวกเขาถือว่าเป็นการสร้างความเท่าเทียมเป็นธรรมขั้นแรก จากนั้นจึงสร้างขั้นต่อไปจนถึงขั้นที่เรียกว่า “สังคมคอมมิวนิสต์” หรือที่ ดร.ปรีดีเรียกว่า “ยุคพระศรีอาริย์”
ในศตวรรษที่แล้วมีคนเกือบครึ่งโลกที่ชื่อลัทธิอุดมการณ์นี้ แต่มันก็ได้พิสูจน์ด้วยการปฏิวัติระบอบเดิมแล้วสถาปนาระบอบ “สังคมนิยม” ขึ้นแทน แล้วผลที่เป็นจริงก็คือมันล้มเหลวในศตวรรษนั้นเอง
การแบ่งชนชั้นเข่นฆ่าทำลายล้างกันเองในเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้น กลายเป็นความสูญเสียและสูญเปล่าทั้งชีวิต ทรัพย์สิน ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาต่างๆ คุณค่าและสติปัญญาที่สั่งสมมา ฯลฯ พวกที่เหลือรอดก็ทุพพลภาพทางร่างกายและจิตใจ
มันจึงเป็นการเอาชีวิตผู้คนขึ้นบูชายัญต่อลัทธิอุดมการณ์สังคมนิยม ที่มีจำนวนมหาศาลกว่าในยุคบูชาเทพเจ้า
กระนั้นในปัจจุบันก็ยังมีคนในโลกนี้อีกจำนวนมากที่ยังงมงายกับลัทธินี้และพยายามจะทำมันให้เป็นจริง ด้วยการเปลี่ยนรูปแปลงร่างและวิธีการต่อสู้ให้เข้ากับยุคสมัย อย่างในประเทศไทยก็มีการปลุกระดมอย่างเดิม แต่ไม่ใช่ให้ไปจับอาวุธ หากแต่ให้ไปเลือกนักการเมืองที่ยังงมงายกับลัทธินี้อยู่ โดยมีนโยบายแจกเงินและภาพฝันของสังคมใหม่เป็นเหยื่อล่อ
มันได้ผล! ดูได้จากคะแนนการเลือกตั้งที่พรรคส้มกับพรรคแดงได้รับ ทั้งที่ทั้ง 2 พรรคก็ไม่ได้มีหัวคิดจะสร้างอรรถประโยชน์สุขแก่สังคมแต่อย่างใด นอกจากคิดจะครอบครองอำนาจและ
ผลประโยชน์ของประเทศเท่านั้น
ส่วนพวกลิ่วล้อกองเชียร์ก็ยังชื่นชมและเชื่อกันว่านักการเมือง 2 พรรคนี้จะสร้างความอยู่ดีมีสุขให้ตนและสร้างความเท่าเทียมเป็นธรรมให้เกิดขึ้นสังคมได้!
ทั้งที่ต่างคนก็ต้องตะเกียกตะกายเอาชีวิตให้รอดในยุคข้าวยากหมากแพง และบ้างก็ตะโกนว่า “ไม่มีจะแดกแล้วโว้ย!”
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี