รัฐสวัสดิการของนักการเมือง
เรื่อง “รัฐสวัสดิการ” นี้พูดกันมาตั้งแต่50 ปีมาแล้ว ยิ่งลัทธิคอมมิวนิสต์ล่มสลายทั้งโลกก็ยิ่งพูดถึงกันมาก โดยเฉพาะพวกนิยมลัทธิสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์ เพราะรัฐสวัสดิการนั้น“แปรรูป” มาจากลัทธิดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อสร้าง “ความเท่าเทียมในด้านเศรษฐกิจ” เป็นหลักเหมือนกัน แต่ใช้วิธีเก็บภาษีแบบ “อัตราก้าวหน้า” แทนการปฏิวัติ ยิ่งรวยยิ่งต้องเสียภาษีมากแบบทบทวี ไม่ใช่เก็บเป็นเปอร์เซ็นต์
มีพรรคการเมืองหลายพรรคอยากจะใช้นโยบายนี้ แต่ก็ไม่ได้ใช้ เพราะภาษีที่เก็บได้ไม่พอจะมาทำเรื่องนี้ เพราะฐานภาษีของไทยนั้นแคบมากเก็บจากคนไม่กี่คน เมื่อปีที่แล้วมีรายงานว่าเก็บได้แค่ 3.9 ล้านคน!
จากประชากรประมาณ 67 ล้านคน
แต่ “พรรคอนาคตใหม่” ก็ใช้นโยบายนี้เรียกคะแนนเสียงจากคนรุ่นใหม่และพวกซ้ายเก่าซ้ายแก่ และซ้ายฟันน้ำนมได้เป็นกอบเป็นกำ และใช้เป็น “เหยื่อล่อ” เรื่อยมาจนถึงพรรคประชาชนในปัจจุบัน
ถามว่าปัจจุบันนี้รัฐเก็บภาษีและมีรายได้อื่นๆ พอจะทำรัฐสวัสดิการแล้วหรือ?
ก็ขอตอบว่า “ยังไม่พอ” และจะไม่พอไปอีกนาน ดูนโยบายแจกเงิน 1 หมื่นบาท “แค่ครั้งเดียว” ของพรรคเพื่อไทย ยังแจกได้ไม่ครบทุกคน แล้วก็โมเมเงียบไป แต่ถ้าเป็นรัฐสวัสดิการจะต้อง “จ่าย” กันต่อเนื่องยาวนาน เพราะไม่ใช่นโยบายชั่วครั้ง
ประเทศไทยมีหนี้มหาศาล รายจ่ายประจำแต่ละปีประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ จึงเหลือเงินพัฒนาประเทศไม่มากนัก แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย?
คุณศิริกัญญา ตันสกุล เคยให้สัมภาษณ์ว่าจะ “สนับสนุน” ให้บริษัททุนใหญ่ๆ ออกไปลงทุนต่างประเทศ เพื่อให้ธุรกิจการค้า SMEในประเทศไทยได้เติบโต แต่ภาษีที่เก็บได้ในปัจจุบันนี้ส่วนมากก็มาจากบริษัททุนขนาดใหญ่ทั้งนั้น ถ้าให้พวกเขาไปลงทุนต่างประเทศ ก็จะยิ่งมีรายได้จากภาษีน้อยลง
หวังพึ่ง SME จะมีกี่รายที่อยู่รอด กี่รายที่พอมีกำไรจ่ายภาษี ความหวังที่จะได้ภาษีจากการค้าธุรกิจพวกนี้กลับจะเป็นภาระมากขึ้น
การหาเสียงด้วยนโยบายรัฐสวัสดิการจึงไม่มีความรับผิดชอบ ไม่ซื่อตรง ตั้งหน้าตั้งตาจะเอาแต่คะแนนเสียง เพื่ออำนาจของพวกนักการเมืองเท่านั้น
อีกด้านหนึ่ง...ทุกวันนี้ประเทศไทยมี“นโยบาย - โครงการ” แบบรัฐสวัสดิการเยอะมากที่เรียกกันว่า “ประชานิยม” นั่นแหละ ที่พรรคการเมืองสร้างแข่งกันเพื่อคะแนนเสียง ได้แก่ โครงการแจกเงินต่างๆ แจกตั้งแต่ทารกจนถึงผู้ชรา ผู้พิการ เกษตรกร การรักษาพยาบาล
ตอนนี้รัฐบาลของคุณอนุทินก็จะเอาโครงการคนละครึ่งมาใช้อีก ซึ่งส่วนดีก็คือช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่อีกส่วนหนึ่งรัฐต้องจ่ายครึ่งหนึ่ง และ “ครึ่ง” นี้แหละที่เป็นเงินของรัฐ มันจึงเป็นสวัสดิการของรัฐ แต่ก็มีประโยชน์กว่าแจกคนละ 1 หมื่นบาท
“นโยบาย - โครงการ” สามารถปรับเปลี่ยนหรือยกเลิกได้ ซึ่งดีกว่ารัฐสวัสดิการที่จะต้องทำกันให้ยืนยาวอย่างประเทศทางยุโรปเหนือ หรือจนกว่ารัฐจะเจ๊ง!
ตอนนี้หลายประเทศทางยุโรปเหนือก็กำลังเผชิญกับปัญหารายได้ไม่พอจ่าย!
ผมเชื่อว่า แม้พรรคส้มจะได้จัดตั้งเป็นรัฐบาลในสมัยหน้า นโยบายนี้ก็ไม่สามารถเป็นจริงได้ ถ้าจะทำจริงจังก็ต้องขยายฐานภาษีให้กว้างขึ้น คนที่ไม่เคยเสียภาษีก็จะต้องเสีย อาจต้องเก็บทุกคนที่มีรายได้ คนที่เสียอยู่แล้วก็ต้องเสียเพิ่มขึ้น จะส่งผลให้ต้องปรับเปลี่ยนนโยบายนี้ให้พอแก้ผ้าเอาหน้ารอดได้
คือไม่เหมือน - ไม่เท่าอย่างประเทศในยุโรปเหนือ
จะเหมือน - จะเท่าก็คืออัตราภาษีที่จะต้องเก็บถึง 40-50 เปอร์เซ็นต์
พรรคส้มก็จะต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่แน่ๆ คือเสียงต่อต้านการเก็บภาษี ทั้งจากคนที่ถูกเก็บมากขึ้นกว่าเดิม และการขยายฐานภาษีที่จะต้องเก็บจากคนไม่เคยเสียภาษี
คนที่เลือกพรรคส้มเพราะนโยบายประชานิยมนั่นแหละที่จะเสียงดัง เพราะไปสร้างฝันให้พวกเขาว่า “ทำงานน้อย ได้เงินมากพักผ่อนนาน” แต่กลับเก็บภาษีพวกเขา!
นักการเมืองนั้นเอาแต่ได้ เอาแต่ประโยชน์ใส่ตน สร้างแต่นโยบายประชานิยมเป็นเหยื่อล่อประชาชนมายาวนาน เพื่อให้ได้คะแนนเสียงสำหรับการเข้าสู่อำนาจของตน จนประชาชนเคยตัวเอาแต่ได้ เอาแต่ประโยชน์ตนเช่นกัน!
สุดท้ายประชาชนก็ไม่ได้อะไรอยู่ดี แต่นักการเมืองได้ไปก่อนแล้ว คือได้ครองอำนาจ ได้ครอบครองได้ผลประโยชน์ ได้ขยายอิทธิพล แต่จะนำพาประเทศเสี่ยงต่อความฉิบหาย
(ตอนหน้าคือ “รัฐสวัสดิการของสังคมไทย”ซึ่งมีมาก่อนรัฐสวัสดิการของนักการเมือง)
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี