วัณโรครักษาอย่างไร
การรักษาวัณโรคในปัจจุบันใช้หลักการใช้ยาหลายชนิดร่วมกัน โดยต้องทานยาต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือนหรือในผู้ป่วยบางรายหรือสูตรยาบางชนิดอาจจะนานกว่านั้น สาเหตุที่พบว่าการรักษาวัณโรคล้มเหลวที่พบบ่อยที่สุด คือผู้ป่วยทานยาไม่ครบตามที่กำหนด ซึ่งอาจเกิดจากผลข้างเคียงของยาทำให้ไม่อยากทานต่อ หรือบางครั้งหลังรักษาได้ระยะหนึ่ง อาการดีขึ้นก็หยุดยาไปเอง เพราะมีความเข้าใจว่าหายแล้ว ซึ่งการทานยาวัณโรคไม่ครบจะมีอันตรายมากเพราะนอกจากจะรักษาไม่หายแล้วจะทำให้เชื้อที่เหลืออยู่มีโอกาสกลายเป็นเชื้อดื้อยามากขึ้น ดังนั้นการรักษาวัณโรคจึงจำเป็นต้องมีระบบติดตามผู้ป่วยที่ดี คือถ้าผู้ป่วยไม่มารับยาต้องมีการติดตาม และผู้ป่วยควรเลือกที่รักษาที่ไปรับยาได้สะดวก การรักษาวัณโรคในปัจจุบัน ยาสูตรมาตรฐานใช้ยาเดียวกันทั้งประเทศ จะรักษาที่ใดก็สามารถรักษาหายได้เหมือนกัน จึงมักแนะนำให้ผู้ป่วยรักษาตัวในที่ที่สะดวกที่สุด เมื่อผู้ป่วยทานยาไประยะหนึ่ง ถ้าทานยาต่อเนื่อง อาการจะดีขึ้นและเชื้อที่พบในเสมหะก็จะน้อยลงและก็จะไม่แพร่เชื้ออีกต่อไปไม่จำเป็นต้องรักษาให้ครบก่อนถึงจะกลับไปทำงานได้(ประมาณ 2-4 อาทิตย์หลังการรักษาปริมาณเชื้อก็จะน้อยลงมากจนไม่น่าจะแพร่เชื้อ)
ถ้าพบว่ามีบุคคลที่ใกล้ชิดป่วยเป็นวัณโรคควรทำอย่างไร
เมื่อมีผู้ที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยวัณโรคอย่างใกล้ชิด สิ่งแรกแพทย์จะแนะนำคือพยายามสืบค้นก่อนว่าผู้สัมผัสโรคดังกล่าวมีภาวะวัณโรคเกิดขึ้นหรือยัง โดยจากการซักประวัติว่ามีอาการบ่งชี้หรือไม่ เช่น ไอเรื้อรัง มีไข้เหงื่ออกกลางคืนหรือน้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ และทำการตรวจเพิ่มเติมว่ามีภาพรังสีปอดที่ผิดปกติหรือไม่ ถ้าพบว่ามีวัณโรคก็ทำการรักษาแบบผู้ป่วยวัณโรคไปในกรณีที่ไม่พบว่าเป็นวัณโรค การที่จะบอกว่าผู้ป่วยมีการติดเชื้อแฝง (หรือเคยรับเชื้อเข้าไปหรือยัง) สามารถทำได้โดยวิธีอ้อมๆ คือการทดสอบภูมิคุ้มกันต่อวัณโรค โดยหมอจะทำการฉีดสารสกัดจากเชื้อวัณโรคเข้าไปใต้ผิวหนังและรอเป็นเวลา 48 ชั่วโมงวัดว่าเกิดปฏิกิริยาขึ้นหรือไม่ในบริเวณที่ฉีด ถ้าเกิดปฏิกิริยาเป็นบวก (คือมีตุ่มแดงขนาดเกิน 10 มิลลิเมตร) แสดงว่าผู้ถูกทดสอบมีภูมิต่อเชื้อแสดงว่าอาจเคยติดเชื้อมาก่อน อย่างไรก็ตามการทดสอบทางผิวหนังแล้วผลบวกพบได้บ่อยในคนไทยทั่วๆ ไป ดังนั้นการที่มีการทดสอบทางผิวหนังเป็นบวก ไม่ได้หมายความว่าจะป่วยเป็นวัณโรคแล้ว อาจเกิดจากการฉีดวัคซีนบีซีจีตั้งแต่เกิดหรือเคยมีการรับเชื้อที่เกิดมาก่อน ดังนั้นการทดสอบทางผิวหนังจึงไม่ค่อยมีประโยชน์มากนักในคนไทย แต่ในผู้ป่วยบางรายที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดวัณโรคสูง เช่น ในเด็กเล็ก ผู้ป่วยที่ภูมิคุ้มกันไม่ดี แพทย์อาจพิจารณาให้การรักษาโดยการทานยาต้านวัณโรค 1 ชนิดเป็นเวลา 6-9 เดือน เพื่อป้องกันโอกาสการเกิดโรคในอนาคต
วัณโรคดื้อยาคืออะไร
ยามาตรฐานที่ใช้ในการรักษาวัณโรค (first line drugs) มีอยู่ประมาณ 5 ชนิด ชึ่งการใช้ยาสูตรมาตรฐานรักษาวัณโรคที่ไม่ดื้อยาและผู้ป่วยรับยาอย่างถูกต้องจะมีโอกาสรักษาหายขาดมากกว่า 90% แต่ปัจจุบันเริ่มพบว่ามีวัณโรคที่ดื้อต่อยามาตรฐาน โดยพบมากในผู้ป่วยที่มีประวัติการรักษาที่ไม่เหมาะสมครบถ้วนมาก่อนปัญหาของเชื้อที่ดื้อยาคือ ถ้ามีเชื้อที่ดื้อต่อยาต้านวัณโรคหลายตัว การรักษาด้วยยามาตรฐานจะไม่ได้ผล จำเป็นต้องใช้ยาสำรอง (second line drug) ซึ่งจะมีราคาแพงมาก มีผลข้างเคียงสูงแต่ก็ยังสามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ควรอยู่ในการดูแลของผู้ที่มีความขำสาญโดยเฉพาะ แนวทางการป้องกันเชื้อดื้อยาที่สำคัญคือต้องให้ผู้ป่วยวัณโรคทุกรายได้รับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมตั้งแต่แรก
วัคซีนป้องกันวัณโรคมีหรือไม่
จริงๆ แล้วเด็กไทยเกือบทุกคนจะได้รับการฉีดวัคซีนบีซีจีตั้งแต่แรกเกิดอยู่แล้ว แต่ผลการป้องกันโรคของวัคซีนนี้ได้ผลไม่ดี พบว่าอาจมีผลช่วยป้องกันการติดเชื้อชนิดที่รุนแรงในเด็กช่วงอายุขวบปีแรก แต่ไม่มีผลในการป้องกันการเกิดโรคในผู้ใหญ่ ดังนั้นจึงถือว่าปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่ใช้ป้องกันวัณโรคที่ได้ผล วิธีการป้องกันการแพร่เชื้อวัณโรคที่ดีที่สุดคือการให้การวินิจฉัยผู้ป่วยที่เป็นวัณโรคให้เร็วที่สุดและให้การรักษาที่เหมาะสมเพื่อลดโอกาสการแพร่กระจายเชื้อจากผู้ป่วยและผู้ป่วยวัณโรคในระยะแพร่เชื้อควรปฏิบัติตัวให้เหมาะสม เช่น ใช้หน้ากากอนามัย หลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่ชุมชนจนกว่าจะได้รับการรักษาในระยะที่เหมาะสมและไม่มีการแพร่เชื้ออีกต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี