เมื่อเร็วๆ นี้ มีการพูดกันอย่างมากในสังคมออนไลน์ เนื่องจากว่ามีชาวบ้านนับร้อยคน ในพื้นที่อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ป่วยด้วยอาการ “ผื่นคัน” หลังการดำนา โดยพบการมีตุ่มแดง คัน และเป็นผื่นนูนตามแขนขาอย่างน่ากลัว ซึ่งมีผู้ป่วยกระจายในพื้นที่ถึง 7 ตำบล ทั้งหมดมีผื่นมีลักษณะจำเพาะ คือเป็นที่ขาทั้ง 2 ข้างและแขนข้างที่ถนัด หลังจากนั้นก็ได้มีการพิสูจน์แล้ว ว่ามีสาเหตุมาจาก “โรคหอยคัน” ที่เกิดจาก “ตัวอ่อน” ของ “พยาธิใบไม้ในเลือด” ที่อยู่ในตัว “หอยคัน”
ซึ่งเป็นหอยขนาดเล็กที่อยู่ในนาข้าว เนื่องจากเกิดในช่วงที่ชาวบ้าน “ดำนา”โดยรอยโรคเกิดที่ขาทั้ง 2 ข้าง (ที่แช่น้ำ) และเกิดกับมือข้างที่ถนัด (เฉพาะบริเวณที่แช่น้ำลงไปปักดำกล้าเท่านั้น) ส่วนแขนอีกข้างที่ไม่ได้สัมผัสน้ำจะไม่มีผื่น รวมถึงไม่มีผื่นบริเวณร่มผ้าหรือบริเวณอื่นที่ไม่สัมผัสน้ำด้วย
วันนี้เรามาทำความรู้จักกับโรคที่เกิดจาก “หอยคัน” นี้กันครับโดยข้อมูลจาก รศ.น.สพ.ดร.ปิยนันท์ ทวีถาวรสวัสดิ์ จากหน่วยปรสิตวิทยา ภาควิชาพยาธิวิทยา คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งอาจารย์ได้ให้ข้อมูลว่า รอยโรคที่แขน-ขานี้คือ Cercarial dermatitis ที่เกิดจากตัวอ่อนของ “พยาธิใบไม้ในเลือด” ซึ่งตัวอ่อนในระยะเซอร์คาร์เลียไชเข้าสู่ผิวหนังเกษตรกรที่ไปดำนา
โรคพยาธิใบไม้ในเลือด (Schistosomosis) เกิดจากพยาธิใบไม้ในเลือด ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Schistosoma spindale ทำอันตรายหลักให้กับ “โค-กระบือ” โดยตัวเต็มวัยอาศัยอยู่ในหลอดเลือดดำ mesenteric vein ที่เยื่อยึดลำไส้ หลังจากพยาธิตัวผู้ตัวเมียผสมพันธุ์กัน จะปล่อยไข่พยาธิออกมา ไข่พยาธิจะปนเปื้อนออกมากับอุจจาระของโค-กระบือ ซึ่งโดยธรรมชาติของโค-กระบือจะชอบแช่น้ำอยู่ตามปลักหรือแหล่งน้ำ ไข่ที่มีในอุจจาระก็จะกระจายไปในแหล่งน้ำที่มีหอยน้ำจืดอาศัยอยู่
หอยชนิดที่มีความสำคัญสำหรับโรคนี้คือ หอยสกุล อินโดพลานอร์บิส (Indoplanorbis) ดังรูปที่ 1 ซึ่งหอยชนิดนี้จัดเป็นโฮสต์กึ่งกลางที่สำคัญในประเทศไทย เมื่อไข่พยาธิปนเปื้อนออกมาในแหล่งน้ำตัวอ่อนระยะที่หนึ่ง (ไมราซิเดียม) ที่อยู่ในไข่ จะสามารถไชเข้าหอยหรือถูกหอยกินเข้าไป และเจริญไปเป็นตัวอ่อนระยะถัดมา (ระยะที่สอง และสาม)คือ sporocyst และ daughter sporocyst จนกลายเป็นตัวอ่อนระยะที่สี่ชื่อว่า เซอร์คาร์เลีย cercaria (รูปที่ 2) ซึ่ง Cercaris จะออกจากหอย เตรียมไชเข้าสู่โฮสต์สุดท้าย ซึ่งก็คือ โค-กระบือ ก่อนที่จะไปเป็นตัวเต็มวัยที่หลอดเลือดดำ mesenteric vein ที่เยื่อแขวนลำไส้ของโค-กระบืออีกครั้ง (ดังรูปที่ 3)
กรณีที่เกิดขึ้นตามข่าวนั้น คือ เซอร์คาร์เลียไชเข้าสู่คนที่มาทำงานในทุ่งนา (ที่มีหอยชนิดนี้อาศัยอยู่) จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดรอยโรคที่ผิวหนัง ที่เกิดจากการไชของตัวอ่อนของพยาธิชนิดนี้ เรียกว่า“Cercarial dermatitis” ซึ่งจะสังเกตเห็นการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน จึงทำให้เห็นเป็นลักษณะของตุ่มหนองเกิดขึ้น ยังโชคดีที่ “คน” ไม่ใช่โฮสต์แท้ จึงไม่สามารถไปเจริญเป็นตัวเต็มวัยได้เหมือนในโค-กระบือ
วิธีการป้องกันที่ดีที่สุดคือ กำจัดหอย ซึ่งเป็นโฮสต์กึ่งกลางของพยาธิชนิดนี้ โดยการควบคุมการแพร่พันธุ์ของหอยที่เป็นโฮสต์กึ่งกลางของพยาธิชนิดนี้ และรวมไปถึงการป้องกันไม่ให้มีการเลี้ยง โค-กระบือ ใกล้แหล่งน้ำที่มีหอยน้ำจืดชนิดนี้ ซึ่งน่าจะเป็นการตัดวงจรที่ดีที่สุด และที่สำคัญควรให้ความรู้เกี่ยวกับพยาธิชนิดนี้แก่บุคคลที่อาศัยอยู่ในบริเวณพื้นที่เสี่ยง เพื่อที่บุคคลเหล่านั้นตระหนัก สังเกต และสามารถระวังตัวเองได้
จะเห็นว่าวงจรชีวิตของพยาธิจะมี “หอยคัน” และ “โค-กระบือ”ซึ่งมี “แหล่งน้ำ” มาเกี่ยวข้อง ดังนั้นการให้ความรู้และการกำจัดหอยในแหล่งน้ำ น่าจะเป็นวิธีการที่ทำได้ง่ายที่สุด (ง่ายกว่าการกำจัดโค-กระบือนะครับ) ทั้งนี้ยังมีรายงานว่าพบโรคนี้ในสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัขและแมว ด้วยดังนั้นผู้ที่อยู่ในชนบทที่ใกล้แหล่งน้ำ จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อสูงกว่าผู้ที่อาศัยในเมือง และนอกจากที่เราจะป้องกันตัวเองแล้ว คงต้องขอฝากให้ดูแลสุนัขและแมวที่เลี้ยง ไม่ให้ไปซนหรือเล่นน้ำในแหล่งน้ำที่มีหอยชนิดนี้อาศัยอยู่ด้วยครับ
รูปที่ 1 หอยอินโดพลานอร์บิส
รูปที่ 2 เซอร์คาร์เลีย
รูปที่ 3 วงชีวิตของพยาธิใบไม้ในเลือด
หมอโอห์ม
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี