คนชอบนินทากันทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ

การนินทาคือ การพูดถึงเรื่องของคนหนึ่งให้อีกคนหนึ่งฟังในส่วนที่ไม่ดีหรือไม่เหมาะสมของเขา โดยที่อาจจะเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงก็ได้

และก็มีหลายๆ คนเผลอใจชอบฟังคนนินทาด้วย เพราะรู้สึกสนุกดี จึงทำให้วงการนินทาขยายตัวได้รวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นระดับกรรมกร พ่อค้าแม่ค้า นักวิชาการหรือชาวไฮโซ ไฮซ้อ ไฮซิ้ม ทั้งหลาย

สังคมไทยก็เป็นสังคมที่มีการนินทากันมาก ผู้คนก็ชอบฟังด้วย ที่เป็นเช่นนี้เพราะเหตุผลดังต่อไปนี้

1. ไม่มีคนสกัดกั้นไม่ให้มีการนินทากัน มีแต่คนพลอยเออออห่อหมกไปด้วยเป็นส่วนใหญ่

2. ในจิตใต้สำนึกของคนส่วนใหญ่มักสะสมสิ่งที่คิดว่าตัวเองไม่ดี ไม่น่าภูมิใจเอาไว้ จึงชอบจับผิดคนอื่นหรือพูดถึงส่วนไม่ดีของคนอื่น ทั้งที่เป็นจริงหรือใส่ความให้มากขึ้น เพื่อให้ตัวเองรู้สึกสบายใจว่ามีคนที่ไม่ดีเหมือนตนอยู่ หรือทำให้คนที่ฟังอยู่นั้นลืมคิดถึงความไม่ดีของตนเอง

3. มาจากลักษณะระแวง ไม่มีความเชื่อถือศรัทธาในผู้คนด้วยกัน จึงหาทางจับผิดคนอื่น เพื่อเป็นเหตุผลว่าเป็นเพราะเขาไม่ดี ฉันจึงไม่เชื่อถือหรือศรัทธาและไม่อยากคบหากับเขา ทำให้ไม่เกิดมิตรภาพอย่างแท้จริง

4. เป็นเพราะมีลักษณะก้าวร้าวแบบสมยอม (Passive Aggressive) ไม่กล้าแสดงความรู้สึกหรือความคิดเห็นต่อหน้าคนอื่นแบบตรงไปตรงมาอย่างเหมาะสม เป็นอิทธิพลของการเลี้ยงดูสั่งสอนตั้งแต่วัยเด็ก ที่ถูกจับผิด ถูกลงโทษ หรือถูกข่มขู่ เขาจึงไม่กล้าแสดงความคิดเห็นตรงไปตรงมา แต่ชอบนินทา

5. เป็นเพราะมองโลกในแง่ร้าย จึงจับผิดได้ง่ายกว่าจับถูก

6. มักขาดคุณธรรม ไม่เห็นใจคนถูกนินทา และมักกล่าวคำเท็จได้ง่ายในการนินทาเสมอ คนที่ชอบฟังคนนินทานั้น ก็มักมีลักษณะดังกล่าวแล้วด้วย

การจะลดนิสัยนินทานั้น ก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุดังกล่าวแล้ว

การนินทาทำให้คนเสียหายมามากแล้ว กลายเป็นข่าวลือ กระแสข่าว กระแสสังคม

คนที่มีวิจารณญาณเขาจะไม่เชื่อง่ายๆ ต่อข่าวลือหรือกระแสข่าว กระแสสังคม หรือการนินทานี้หรอก

ถ้าจะถือว่าการนินทานั้นเข้าข่าย “อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน”ก็ไม่เหมาะนัก น่าจะนึกว่าการนินทานั้นเข้าข่ายการพูดหยาบและเป็นที่น่ารังเกียจจะดีกว่า ผู้คนจะได้หลีกห่าง และใช้เป็นดรรชนีชี้บอกถึงคุณภาพของคนในสังคมได้ระดับหนึ่งด้วย

ต้องแยกให้ออก อย่าเอาไปปะปนกันนะครับ

เป็นน้ำเหมือนกัน แต่น้ำดีกับน้ำเน่านั้นแตกต่างกันแน่ๆ